แพทย์เตือน “เหงื่อออกมากผิดปกติ” เสี่ยงป่วยโรคทางสุขภาพ

12 ก.ค. 2568 | 21:32 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ค. 2568 | 21:44 น.

ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) เกิดจากหลายสาเหตุ แพทย์แนะสามารถรักษาได้ตั้งแต่เด็ก เพราะอาจเกิดจากความดันโลหิตสูง-ไทรอยด์เป็นพิษ

รศ.นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกจากศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า ปกติในช่วงฤดูร้อนหรืออากาศร้อน ร่างกายคนปกจิจะขับเหงื่อออกมา เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิ แต่สำหรับบางคนอาจมีเหงื่อออกมากเกินความจำเป็นและเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของร่างกาย เรียกว่า “ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)” และหลายกรณีเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน

ประเภทของภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ

  • ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติแบบปฐมภูมิ (Primary Focal Hyperhidrosis)

จะมีลักษณะเหงื่อออกมากเฉพาะจุด เช่น  ที่มือ รักแร้ และเท้า ภาวะนี้มักเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีโรคอื่นเกี่ยวข้อง จะพบได้ประมาณ 1-3 % ของจำนวนประชากร และพบในเด็กชายและเด็กหญิงเท่า ๆ  กัน อาการโดยรวมมักจะเริ่มแสดงในวัยเด็กหรือวัยรุ่น 

  • ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติแบบทุติยภูมิ (Secondary  Hyperhidrosis)

จะมีลักษณะเหงื่อออกมากร่วมกับภาวะทางสุขภาพอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง (Hypertension) หรือ ไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) 

แพทย์เตือน “เหงื่อออกมากผิดปกติ” เสี่ยงป่วยโรคทางสุขภาพ

อาการของภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ

มีเหงื่อออกมากอย่างต่อเนื่องตลอดเวลายกเว้นตอนนอน และอาการจะแย่ลงเมื่ออยู่ในที่อากาศร้อนหรือเมื่อเด็กเครียด ตำแหน่งที่พบมากสุด ได้แก่ มือและเท้า เด็ก

ส่วนใหญ่มักสังเกตเห็นอาการครั้งแรกเมื่อเหงื่อออกที่มือเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เขียนหนังสือลำบาก จับกระดาษหรือของใช้แล้วเปียกเหงื่อหรือใช้หน้าจอสัมผัสโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่น ๆ ยากขึ้น และเริ่มรู้สึกอายเมื่อต้องใช้มือหรือเท้า ร่วมทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ  

การรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ

สามารถรักษาได้ตั้งแต่เด็ก โดยมีทางเลือกในการรักษาหลายวิธี ได้แก่ 

1.การใช้ยาทาภายนอก

2.การใช้ยารับประทาน

3.การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) 

4.การใช้กระแสไฟฟ้าต่ำเพื่อรักษา (Iontophoresis)

5.การผ่าตัด (Sympathectomy)  เป็นการตัดเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณไปยังต่อมเหงื่อ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ (เป็นทางเดียวที่หายขาดได้) 

6.การผ่าตัดในปัจจุบัน สามารถผ่าตัดผ่านกล้องเล็กเหลือแผลมีขนาด 2-3 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นแผลเป็น เพื่อทำให้ฟื้นตัวไวและกลับมาใช้ชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง