รศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ อายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา อดีตอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคมะเร็งปอด ภายในงาน “มะเร็งรู้ทัน ป้องกันเป็น รักษาได้” จัดโดยชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 77% ภายใน 25 ปีข้างหน้า
สำหรับสถิติมะเร็งในประเทศไทย ในปี 2565 ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่าแต่ละปีมีคนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งรายใหม่ ประมาณ 1.4 แสนคน เสียชีวิตประมาณ 8.3 หมื่นคน เฉลี่ยวันละ 227 ราย โดยมะเร็งเต้านมยังคงมีสถิติเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยมะเร็งปอดเป็นอันดับ 2 แต่มีสถิติที่น่าตกใจ พบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยวันละ 48 คน และมะเร็งปอดคร่าชีวิตคนไทยวันละ 40 ราย
หนึ่งในวิธีการป้องกันมะเร็งที่สำคัญมาก คือ อากาศ มะเร็งไม่ชอบออกซิเจน มะเร็งชอบสิ่งที่เป็นกรด ออกซิเจนน้อยๆ หากเราสามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปได้มา จะช่วยส่งเลือดหมุนเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ร่างกายจะแข็งแรง อายุยืน แต่ด้วยอากาศที่สกปรกของไทยที่ติดอันดับโลกไปแล้ว ทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ทั้งสิ้น
รศ.นพ.นรินทร์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่ากลัวมากในปัจจุบัน คือ อากาศเป็นพิษเต็มไปด้วย PM 2.5 เมื่อสูดดมเข้าสามารถเข้าไปลึกถึงหลอดลมจนกระทั่งเข้าไปในกระแสเลือดได้ ทำให้เกิดผลต่างๆ ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจนั้น ทำให้ถุงลมโป่งพอง มีพังผืด มีแผลในปอด ปอดอักเสบ ติดเชื้อง่าย ส่งผลให้เป็นมะเร็งปอดได้ เพราะ PM 2.5 สามารถกระตุ้นให้เซลล์กลายพันธุ์อยู่แล้วแต่ยังไม่เป็นมะเร็งกลายพันธุ์เป็นเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งได้
“เพื่อป้องกันสาเหตุของโรคมะเร็งปอด ควรหลีกเลี่ยงมลพิษ เสริมสร้างสุขภาพปอดด้วยการออกกำลังกายในที่อากาศบริสุทธิ์ รับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บล็อกโคลี ชาเขียว แครอท ฟักทอง อาหารต้านการอักเสบ เช่น ขิง ขมิ้นชัน เป็นต้น ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะคนที่มีประวัติ สูบบุหรี่จัด มีแผลในปอด หรือเคยฉายแสงที่ปอด การตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 80%”
สำหรับมะเร็งปอดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-small cell lung cancer) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด และมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small cell lung cancer) ซึ่งพบได้น้อยกว่า แต่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสงได้ดี
โดยมะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรกและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง แม้ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้อย่างชัดเจน แต่พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือการสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูบเองหรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง เพราะสารเคมีในบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อปอดและกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิ ควันพิษจากท่อไอเสีย ฝุ่น PM 2.5 ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึง 1 – 1.4 เท่า
กลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่ หรือมีคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็งปอด ทั้งนี้มะเร็งปอดในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ เป็นภัยเงียบ ก่อนที่จะแสดงอาการเมื่ออยู่ในระยะลุกลาม โดยสังเกตอาการได้จาก ไอเรื้อรัง (พบได้มากถึง 50–75% ของผู้ป่วย) ไอมีเลือดปนหรือเลือดสดในเสมหะ (พบ 25–50%) หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หายใจมีเสียงดัง หรือเสียงแหบ เป็นต้น
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,107 วันที่ 22 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568