ปอดแตกคืออะไร วันนี้ หมอเจด หรือ นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หมอเจด ว่า
1. ปอดแตกคืออะไร? แล้วปอดซ้าย-ขวาของเราทำงานต่างกันยังไง?
ก่อนอื่นเลย มาทำความรู้จักกับอวัยวะสุดเจ๋งที่ชื่อ "ปอด" กันก่อน ปอดของเราเปรียบเสมือนโรงไฟฟ้าพลังงานออกซิเจนของร่างกาย ทำหน้าที่ฟอกอากาศเสีย (คาร์บอนไดออกไซด์) ออกไป แล้วเติมอากาศดี (ออกซิเจน) เข้าสู่เลือดเพื่อให้เรามีแรงวิ่งเล่น ทำงาน หรือแม้กระทั่งนอนหลับครับ ปอดเรามี 2 ข้าง อยู่ในช่องอก โดยมีหัวใจคอยเป็นเพื่อนบ้านอยู่ตรงกลาง
"ภาวะปอดแตก" หรือปอดรั่ว มันคือสถานการณ์ที่มีอากาศเข้าไปอยู่ใน "ช่องเยื่อหุ้มปอด" ซึ่งเป็นช่องว่างบางๆ ระหว่างปอดกับผนังช่องอก ลองนึกภาพตามนะครับ ปกติในช่องนี้แทบไม่มีอากาศเลย ทำให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่เหมือนลูกโป่งในขวดโหล แต่พอมีอากาศรั่วเข้าไป (อาจจะจากตัวปอดเองหรือจากภายนอก) มันจะไปสร้างแรงดันเบียดให้เนื้อปอดที่นุ่มๆ ของเราแฟบลง ปอดก็เลยขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ทำให้เราหายใจลำบากนั่นเอง มันไม่ใช่การแตกโพละ! แบบที่เราคิด แต่มันคือการ "รั่ว" ที่ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อการหายใจของเรา
3. ปอดแตกเกิดจากอะไรได้บ้าง?
มาถึงคำถามยอดฮิต "แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง?" สาเหตุของปอดแตกแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือแบบที่ "เกิดขึ้นเอง" กับแบบที่ "มีสาเหตุจากปัจจัยภายนอก" มาดูกันทีละกลุ่มเลย
กลุ่มที่ 1 : ปอดแตกที่เกิดขึ้นเอง (Spontaneous Pneumothorax) อันนี้คืออยู่ดีๆ ก็เป็นขึ้นมาเองเลย แบ่งย่อยได้อีก 2 แบบ
- แบบปฐมภูมิ (Primary Spontaneous Pneumothorax - PSP) : แบบนี้มักเกิดในคนอายุน้อย (ช่วง 20-30 ปี) ที่ไม่ได้มีโรคปอดอะไรมาก่อนเลย กลุ่มเสี่ยงหลักๆ คือ คนรูปร่างสูงผอม และ คนที่สูบบุหรี่ ครับ เชื่อกันว่าในคนกลุ่มนี้อาจจะมี "ถุงลมโป่งพองขนาดเล็ก" (Blebs/Bullae) ที่ผิดปกติตรงผิวปอด ซึ่งเจ้าถุงลมจิ๋วๆ นี่แหละครับที่วันดีคืนดีก็ปริแตกออกมา ทำให้ลมรั่วเข้าช่องเยื่อหุ้มปอด เหมือนยางในจักรยานที่มีจุดเปราะบางอยู่แล้ว พอเจอลมแรงๆ ก็เลยรั่วนั่นเอง การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงมหาศาลเลยนะครับ เพราะมันทำให้ปอดอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของถุงลมได้ง่ายขึ้น
- แบบทุติยภูมิ (Secondary Spontaneous Pneumothorax - SSP) : แบบนี้จะเกิดในคนที่มีโรคปอดเดิมเป็นทุนอยู่แล้วครับ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง (COPD) จากการสูบบุหรี่มานาน, โรคหืด, วัณโรค, มะเร็งปอด หรือการติดเชื้อในปอด เนื้อปอดของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความอ่อนแออยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสเกิดการฉีกขาดและรั่วได้ง่ายกว่าคนปกติมากแบบนี้มักจะอาการรุนแรงกว่าแบบแรกด้วย
กลุ่มที่ 2 : ปอดแตกจากปัจจัยภายนอก (Traumatic Pneumothorax)
กลุ่มนี้สาเหตุจะชัดเจนกว่าคือ เกิดจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่บริเวณทรวงอก
- อุบัติเหตุ : เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การตกจากที่สูง การถูกกระแทกอย่างรุนแรงที่หน้าอกจนกระดูกซี่โครงหัก แล้วปลายกระดูกที่หักไปทิ่มเนื้อปอด
- การถูกของมีคม : เช่น ถูกแทง หรือบาดแผลทะลุช่องอก ทำให้มีอากาศจากภายนอกวิ่งเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอดได้โดยตรง
4.เมื่อไหร่ต้องผ่าตัด?
ขั้นตอนการรักษาก็จะเริ่มต้นขึ้นครับ เป้าหมายหลักของการรักษามี 2 อย่างคือ 1. เอาลมที่รั่วออกมาให้หมดไป เพื่อให้ปอดกลับมาขยายตัวได้เหมือนเดิม และ 2. ป้องกันไม่ให้มันกลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งวิธีการรักษาก็มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและขนาดของลมที่รั่วครับ
แบบชิลล์ๆ (ไม่ต้องผ่าตัด):
- สังเกตอาการ (Observation) : ในกรณีที่ลมรั่วออกมาน้อยมากๆ (ปอดแฟบไปไม่เกิน 15-20%) และผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยหรือเจ็บหน้าอกรุนแรง คุณหมออาจจะให้พักผ่อน นอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ และให้ออกซิเจนเสริม เพราะออกซิเจนจะช่วยเร่งให้ร่างกายดูดซึมลมที่รั่วในช่องอกกลับเข้าไปได้เร็วขึ้น เหมือนปล่อยให้แผลเล็กๆ สมานตัวเอง
- ใช้เข็มเจาะระบายลม (Needle Aspiration) : ถ้าลมที่รั่วมีปริมาณมากขึ้นมาหน่อย แต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง คุณหมออาจจะใช้เข็มเล็กๆ เจาะเข้าไปที่ช่องอกเพื่อดูดเอาลมส่วนเกินออก วิธีนี้ทำได้ง่ายและรวดเร็ว
- ใส่ท่อระบายทรวงอก (Chest Tube Drainage): นี่คือวิธีมาตรฐานสำหรับกรณีที่ลมรั่วเยอะ ปอดแฟบมาก หรือผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยชัดเจน เพื่อให้ลมจากช่องอกไหลออกมาได้ทางเดียว แต่ลมจากข้างนอกไม่สามารถย้อนกลับเข้าไปได้ เราจะต้องใส่ท่อนี้คาไว้ 2-3 วัน หรือจนกว่ารอยรั่วที่ปอดจะปิดสนิทและไม่มีลมออกมาเพิ่มแล้วครับ
แบบแอดวานซ์ (ต้องผ่าตัด) :
การผ่าตัดสมัยนี้ก็ไม่ต้องน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ ส่วนใหญ่จะใช้วิธี "ผ่าตัดส่องกล้อง" (Video-Assisted Thoracoscopic Surgery - VATS) ซึ่งแผลจะเล็กมาก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว คุณหมอจะเข้าไปตัดเอาถุงลมที่ผิดปกติ (Blebs/Bullae) ออก แล้วทำการ "ขัด" หรือ "ทำให้เยื่อหุ้มปอดสมานติดกัน" เพื่อไม่ให้มีช่องว่างให้ลมรั่วเข้าไปได้อีกในอนาคต
5. สังเกตตัวเอง หลีกเลี่ยงความเสี่ยง เพื่อปอดที่แข็งแรง!
มาถึงข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดครับ คือการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงและอยู่ห่างไกลจากภาวะปอดแตกให้มากที่สุด หมอขอสรุปเป็นข้อๆ ให้จำไปใช้กันง่ายๆ
- บอกลาบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า : อันนี้คือหัวใจหลักเลยครับ! ไม่ว่าจะปอดแตกแบบเกิดขึ้นเองในคนหนุ่มสาว หรือแบบที่มีโรคปอดอยู่แล้ว "บุหรี่" คือผู้ร้ายตัวจริงเสียงจริงที่เพิ่มความเสี่ยงมหาศาล สารพิษในควันบุหรี่ทำลายเนื้อปอดโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบและถุงลมที่เปราะบาง ถ้าคุณสูบอยู่ การเลิกวันนี้คือการลงทุนเพื่อสุขภาพปอดที่ดีที่สุดในระยะยาวรักปอดต้องงดสูบุหรี่
- หลีกเลี่ยงมลพิษและสารเคมี : ฝุ่น PM2.5 ควันพิษ หรือไอระเหยจากสารเคมีต่างๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำร้ายปอดของเราได้เช่นกัน พยายามอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก หากต้องอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษสูง ควรสวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานเพื่อป้องกัน
- ระมัดระวังอุบัติเหตุ : แน่นอนว่าอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เช่น คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ขับรถ ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ก็ช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บที่รุนแรงบริเวณทรวงอกได้
- คนที่มีโรคปอดต้องใส่ใจเป็นพิเศษ : หากคุณมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอด เช่น COPD หรือหืด ควรดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทานยาให้สม่ำเสมอ เพื่อควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะสงบ จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนอย่างปอดแตกได้
- รู้จักสังเกตอาการ : สุดท้าย กลับมาที่การเป็นนักสืบร่างกายตัวเองครับ หากคุณเป็นกลุ่มเสี่ยง (เช่น สูง ผอม สูบบุหรี่) หรือเคยเป็นปอดแตกมาแล้ว การหมั่นสังเกตอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลันหรืออาการเหนื่อยที่ผิดปกติ จะทำให้คุณรู้ตัวเร็วและไปพบแพทย์ได้ทันท่วงทีครับ
สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเองนะครับ! การดูแลปอดของเราให้แข็งแรงก็เหมือนการดูแลเพื่อนคู่ใจที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต มาใส่ใจ "โรงไฟฟ้าพลังงานชีวิต" ของเรากันตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะได้หายใจเข้าเต็มปอดได้อย่างมีความสุขในทุกๆ วัน
ด้วยรักและห่วงใย