5 มิถุนายน 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวง อธิบดี และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมประชุม ที่กระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า ในที่ประชุมได้มีมติเรื่องของแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย และนวดไทย ซึ่งในปีงบประมาณ 68 ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,000 ล้านบาท ขณะที่เสนอขอไปจำนวน 3 พันล้านบาท แบ่งออกเป็น กลุ่มของสมุนไพร จำนวน 2 พันล้านบาท กลุ่มของนวด หรือ เกี่ยวกับแผนไทยอีก 1 พันล้าน โดยเมื่อดูจากสถิติในการดำเนินการในปีนี้ จำนวน 1 พันล้านที่ตั้งไว้ได้ใช้ไปจำนวน 500 ล้านที่มีการเบิกจ่าย
ส่วนอีก 500 ล้านบาทเชื่อว่า จะใช้ได้หมดในปีงบประมาณนี้เชื่อว่าจะเป็นทางออกให้กับเกษตรกรที่จะทำให้สามารถเพิ่มรายได้และเกิดประโยชน์ต่อไปเพราะในกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและสารสนเทศที่ได้แถลงไว้เมื่อสองเดือนที่ผ่านมานั้น มีหลายเรื่องที่ได้เพิ่มเติมเข้ามาจะได้ทยอยแถลงเพื่อให้เห็นว่า เราให้ความสำคัญกับภาพรวมนอกจากเรื่องของการรักษาดูแลผู้ป่วยในประเทศแล้วยังเพิ่มการทำธุรกรรมในทางการแพทย์ให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
"ผมได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลาง ระดับรองอธิบดี ที่จะมาช่วยกันคิดนอกกรอบเพื่อช่วยดูโครงการที่มีอยู่ประมาณ 345 โครงการ เช่น มีงบประมาณในกระทรวงสาธารณสุขปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้เกิดศักยภาพลดปัญหาเรื่องของสถานที่และเรื่องของบุคลากรมาช่วยกันคิดนอกกรอบมาเพื่อหารายได้ ลงทุน เช่น กรณีของผู้ป่วยในที่คิดเป็น adjRW 8,350 บาทซึ่งหากสามารถคุมราคาหรือไม่พยายามใช้ให้สูงก็จะต้องหาทางที่จะมีรายได้เข้ามาเสริมบ้าง เช่น โครงการปิยมหาราชการุณย์ กระทรวงสาธารณสุข ควรที่จะคิดทำสิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมใน รพ.ที่มีศักยภาพหรือเมืองใหญ่ที่ประชาชนกลุ่มไฮเอนด์สมัครใจที่จะจ่ายซึ่งจะเป็นทางเลือกและเป็นรายได้ให้กับโรงพยาบาล เราทำให้เป็นทางออกที่เพิ่มเติมรายได้เพื่อเพิ่มเติมรายได้ดึงดูดให้บุคลากรไม่สมองไหล จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา
นอกจากนี้ในที่ประชุมยังได้หารือกันกรณีที่พบว่า ข้อมูลของหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขไม่ตรงกัน ไม่เชื่อมกัน เช่น กรณีของ สปสช. ที่ต้องมาคิดต่อว่าทำอย่างไรข้อมูลเหล่านี้จะเชื่อมถึงกันจะเชื่อมกันโดยระบบดิจิทัลซึ่งต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้เพราะว่าปีงบประมาณหน้าหรือเวลาประมาณสามเดือนเศษจะได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เช่น กรณีของแพทย์ที่ไม่สามารถให้บริการในวันหยุดราชการได้ หากข้อมูลไม่สามารถเปิดใช้ได้ทั่วถึง ผู้ป่วยก็ไม่ได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้จึงต้องมีการดำเนินการในเรื่องนี้
ส่วนข้อกังวลเรื่องของกองทุนฯได้สั่งการให้ สปสช. จ้างบริษัทตรวจสอบบัญชี "บิ๊กโฟร์" ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่จะเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้เพื่อเป็นการพัฒนาในอนาคตข้างหน้า
ต่อข้อซักถามที่ว่า สำหรับรพ.ที่ประสบปัญหาเรื่องของการขาดทุนนั้นจะมีการเปลี่ยนผู้บริหารใหม่หรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ ยืนยันว่า หากแก้ไม่ได้ก็จะต้องมีการปรับโยกย้ายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วซึ่งเบื้องต้นที่เห็นตัวเลขมี 13 รพ.ถ้าหากประเมินแล้วท่านผู้นั้นไม่สู้แล้วก็หาคนใหม่ไปทำไปดูแล้วก็ไปแก้ให้ถูกจุดซึ่งในวันศุกร์นี้หลังจากแวะตรวจห้องสูบบุหรี่ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้วจะเดินทางไป รพ.ขอนแก่น ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ตัวเลขสูงกว่าที่อื่นซึ่งห่างจากรพ.อันดับที่สองมากที่อาจมีการลงบัญชีคลาดเคลื่อน
อย่างไรก็ดี จะดูสถานการณ์ช่วงโควิดเป็นหลัก เช่น ของกระทรวงช่วงก่อนโควิดมีเงินอยู่มากกว่าช่วงหลังโควิดซึ่งมีตัวเลขสูงขึ้นมาก ถามว่าจะมีปัญหาหรือไม่อย่างไร ตอบเลยว่า ไม่มีปัญหาแต่จะทำให้ดีที่สุดซึ่งเบื้องต้นคงไม่ได้ลงไปดูเองทั้งหมดแต่จะเชิญบอร์ด สปสช.ซึ่งมีความรู้เรื่องการตรวจสอบให้ลงไปดูแทนเพื่อลงไปทำทีโออาร์ให้กับหน่วยงานที่จะจ้างมา
ต่อข้อซักถามในการเฟ้นหาทีมรองอธิบดีเพื่อมาช่วยคิดนอกกรอบ หารายได้ให้กับสธ.นั้น นายสมศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า เนื่องจากตนเองอยู่กระทรวงสธ.มาหนึ่งปีเศษแล้วทำให้เห็นว่า ถ้าคิดแบบเดิมคงเดินต่อไม่ได้ ต้องเดินหน้า การเมืองมีเวลาไม่มาก ถามว่ามั่นใจว่าจะไม่ถูกปรับ ครม.ใช่หรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มั่นใจเหมือนกันเรื่องอย่างนี้ซึ่งก็อยู่กับที่ไม่ได้ เราต้องเดินหน้า ซอยเท้าก็ไม่ได้มีแต่จะต้องเดินหน้า