วิกฤติคนไทยป่วย "โรคอ้วน" แพทย์เผยวิธีลดน้ำหนักด่วน ก่อนเกิดโรคเรื้อรัง

21 พ.ค. 2568 | 18:10 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ค. 2568 | 03:47 น.

แพทย์แนะ "โรคอ้วน" รักษาได้หลายวิธี ลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรัง-เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ชี้ตัวเลขผู้ป่วยโรคอ้วนพุ่ง 1 พันล้านคนทั่วโลก ขณะที่คนไทยที่มีน้ำหนักเกินเฉียด 50% ของจำนวนประชากร

ข้อมูลของสหพันธ์โรคอ้วน (World Obesity Federation) ปี 2563 พบว่าผู้คนราว 1 พันล้านคน หรือ 1 ใน 7 ทั่วโลกกำลังเผชิญกับโรคอ้วน ขณะที่รายงาน World Health Statistics ปี 2566 ขององค์การอนามัยโลกระบุว่า 39% ของผู้ใหญ่ หรือ 1.9 พันล้านคนมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน สำหรับประเทศไทย ข้อมูลปี 2566 จากกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยที่มีน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 48.35% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นและความจำเป็น ในการจัดการปัญหาโรคอ้วนอย่างจริงจัง

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ร่วมกับ กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร เปิดเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการดูแลรักษาโรคอ้วนแบบองค์รวม ในหลักสูตรการฝึกอบรม ‘แนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน’ หรือ ‘HCP Obesity Curriculum Comprehensive Module’ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน ลดภาวะแทรกซ้อน รวมถึงบูรณาการแนวทางการรักษาโรคอ้วนในทุกมิติอย่างครอบคลุม ทั้งการดูแลป้องกัน และการรักษาที่ยั่งยืน โดยสหสาขาวิชาชีพ

นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นโยบายสาธารณสุข มุ่งเป้าไปที่การลดการเจ็บป่วยจาก NCD และการควบคุมโรคเบาหวานตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นประจักษ์แล้วว่า การลดน้ำหนัก 15% จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานเข้าสู่ภาวะสงบ การป้องกันและรักษาโรคอ้วนได้ ลดดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคเรื้อรัง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ

วิธีรักษาโรคอ้วนบุคลากรทางการแพทย์อีกหลายท่าน ได้ระบุวิธีรักษาและแก้ปัญหา "โรคอ้วน" ไก้แก่

 3 วิธีหลัก รักษาโรคอ้วนในแต่ละบุคคล

  1. การปรับพฤติกรรมและโภชนาการ ที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น
  2. การใช้ยา โดยเฉพาะในผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 27 กก./ตร.ม. ขึ้นไป และมีโรคร่วม หรือ BMI 30 กก./ตร.ม. ขึ้นไป ซึ่งในกลุ่มนี้ ยากลุ่ม GLP-1 receptor agonists สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ถึง 10-20% และยังสามารถใช้รักษาโรคอ้วนในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปได้ ยากลุ่มนี้ทำงานโดยเลียนแบบฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลง
  3. การผ่าตัดกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ที่มี BMI 35 กก./ตร.ม. ขึ้นไปและมีโรคร่วม หรือ BMI 40 กก./ตร.ม. ขึ้นไป ซึ่งสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ 20-40%

ปัจจุบันสถานการณ์โรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นทั่วโลกว่า ในช่วงอายุ 5-19 ปี มีผู้ที่มีน้ำหนักเกินและอ้วนถึง 175 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยมีความชุกของโรคอ้วนในเด็กสูงถึง 10-15% เพิ่มโอกาสในการเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนและเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ

การแก้ไขปัญหาในจุดเริ่มต้น

  • เริ่มจากการปรับทัศนคติของพ่อแม่และคนในครอบครัว
  • ตระหนักถึงโรคอ้วนว่าเป็นปัญหาสำคัญ
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและโภชนาการของเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ  

การใช้จิตแพทย์ในการรักษาโรคอ้วน

มุมมองทางจิตใจและสังคมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการประเมินและรักษาผู้ป่วยที่มีค่า BMI สูงเกินเกณฑ์ หรือผู้ป่วยโรคอ้วน เช่น

  • การใช้ความคิดและพฤติกรรมบำบัด หรือ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ในการรักษาผู้ป่วยจึงมีความสำคัญ ผู้ป่วยอาจมีปัญหาความคิด เช่น ‘กินแล้วหายเครียด’ 'ชีวิตคงไม่มีทางผอม'
  • แก้ปัญหาทางพฤติกรรม เช่น 'ชอบทานน้ำหวาน' การใช้ CBT จะช่วยให้ ผู้ป่วยตระหนักถึงความคิดและพฤติกรรมที่ทำให้เกิดโรคอ้วน พร้อมทั้งช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมการ กินไปสู่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น

โดยความสำคัญของการจัดตั้ง ‘คลินิกโรคอ้วน’ ก็เป็นอีกก้าวสำคัญในการลดจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนและโรค NCDs โดยใช้ทีมแพทย์จากหลายสาขา (Multidisciplinary Teams - MDT) เพราะการดูแลผู้ป่วยโรคอ้วน ต้องอาศัยการร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากทีมแพทย์ ที่จะร่วมกำหนดเป้าหมายกับผู้ป่วย โดยเฉพาะการรักษาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการปรับพฤติกรรม, โภชนาการ, การใช้ยา, การผ่าตัด และการสนับสนุนทางจิตวิทยา เพื่อให้เกิดการลดน้ำหนักและป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดภาระโรคอ้วนและสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต