จากกรณีที่มีเสียงวิพากวิจารณ์ถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณเกือบ 900 ล้านบาทที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุขในการจัดทำ Thailand Pavilion ภายในงาน World Expo 2025 ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. - 13 ต.ค. 2568 นั้น โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.กรกฤช ลิ้มสมมุติ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายอุปถัมป์ นิสิตสุขเจริญ กรรมการบริหารบริษัท ไร้ท์แมน จำกัด และกิจการค้าร่วม RMA110 ร่วมแถลงข่าวชี้แจงประเด็นการจัดทำอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ในงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น
นพ.โอภาส ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า งานเอ็กซ์โปร์เป็นงานที่ไม่ได้จัดกันทุกปี ครั้งสุดท้ายจัดขึ้นที่ดูไบ ปี 2020 ซึ่งไทยก็ได้เข้าไปร่วมด้วยครั้งนั้นประเทศไทยใช้งบประมาณไปประมาณ 1,200 ล้านบาท
สำหรับครั้งนี้ครม.มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพหลักภายใต้วงเงินงบประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าครั้งที่แล้วเป็นไปตามระเบียบของประเทศไทย และระเบียบของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีกฎหมายแรงงานที่เข้มงวด รวมทั้งเป็นไปตามกฎระเบียบของเมืองโอซาก้าด้วย
นอกจากนี้การจัดครั้งนี้ยังเป็นการจัดในช่วงสถานการณ์โควิดระบาด ดังนั้น ช่วงของการเตรียมการจึงมีความยุ่งยากลำบากและมีความซับซ้อนระหว่างไทยและญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาก็สามารถที่จะดำเนินการได้ลุล่วงในขั้นตอนต่าง ๆ ด้วยดี
สำหรับการตั้งข้อสังเกตที่ระบุว่า ดีไซน์เอกชน คอนเท้นท์ราชการ นั้น เห็นว่าจากวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ต้องการให้คนทั้งโลกได้ดู โจทย์คือคนทั้งโลกไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น งานนี้คนไทยทุกคนเป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่กระทรวงสาธารณสุข เราต้องการให้คนทั้งโลกดูศักยภาพของประเทศไทยในเรื่องของการสร้างเสริมสุขภาพที่สำคัญยุคนี้ คือ ต้องขายของได้ด้วยเพื่อนำมาสร้างเศรษฐกิจของประเทศโดยมีเป้าหมายในเรื่องของการจับคู่ทางการค้าในเรื่องของการสนับสนุนนวดไทยซึ่งเป็นนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญมากที่ต้องการทำให้นวดไทยสร้างรายได้หลายแสนบาทเข้าประเทศ
การจัดการเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย.ถึงวันนี้มีคนเข้าชมเป็นไปตามเป้าอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นคน ขณะเดียวกันก็ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตที่มีการประเมินผลทางวิชาการกลับมาด้วย อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าก็มีทั้งคำชมและคำติซึ่งทางกระทรวงก็น้อมรับพร้อมนำกลับมาแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมให้ดีขึ้นต่อไปเพื่อแสดงภาพลักษณ์ของการจัดงานที่คนไทยเป็นเจ้าภาพ
ด้าน นพ.กรกฤช รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวชี้แจงประเด็นของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ครม.ได้มีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานและกรอบงบประมาณตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้ดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566-2569 และอนุมัติให้อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็น Commissioner General of Section (CG) ของประเทศไทย จากนั้นในวันที่ 14 มีนาคม 2566 ครม.ได้อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ 2566-2569 ในวงเงิน 867,881,611 บาท โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก
จากนั้นในวันที่ 27 เมษายน 2566 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้กำหนดราคากลางครั้งแรกที่ 867,880,000 บาท โดยสืบราคาจากท้องตลาด 2 บริษัท คือ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไร้ท์แมน จำกัด
ทั้งนี้ เนื่องจากการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในครั้งแรกนั้นกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้กำหนดราคากลางขึ้นมาที่ 867,880,000 บาท โดยวิธีการคัดเลือกจากเดิมที่คิดว่าอยากให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาแข่งขันได้ แต่ปรากฎว่า ผลการคัดเลือกในครั้งนั้นเอกสารไม่ครบถ้วนทั้ง 3 บริษัท จึงจำเป็นที่จะต้องยกเลิกไป เอกสารที่ขาด คือ การแสดงผลงานในส่วนของอินเตอร์เนชันแนล ยังไม่มีบริษัทใดเข้าเกณฑ์จึงได้ยกเลิกในครั้งที่หนึ่งไป ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2566
ต่อมาในวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ได้มีการกำหนดราคากลางใหม่ที่ 867,880,000 บาท (วงเงินเท่าเดิม) โดยยังคงอ้างอิงราคาจากบริษัทเดิมทั้งสองแห่ง และในวันที่ 29 มิถุนายน ได้มีบริษัท กิจการร่วมค้า RMA 110 จำกัด เข้ามา ซึ่งเป็นผู้ชนะการเสนอราคาโดยวิธีคัดเลือก (ครั้งที่ 2) ด้วยวงเงิน 862,000,000 บาท (ลดลง 5,880,000 บาท จากราคากลาง)
หลังจากนั้นได้มีการร้องเรียนจากบริษัทฯที่ไม่ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการโดยมีการยื่นอุทธรณ์ โดยกรมบัญชีกลางได้ตอบข้อวินิจฉัยกลับมาว่า สามารถให้ทางกรม สบส.ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างต่อไปได้ อย่างไรก็ดี เป็นช่วงที่เกินกำหนดเวลาการยืนราคากลาง 90 วันทำให้กระบวนการลงนามสัญญาไม่เกิดขึ้นและผู้ชนะไม่ประสงค์จะทำสัญญาเนื่องจากยืนราคาไม่ได้แล้ว ณ ขณะนั้น กรม สบส.จึงจำเป็นต้องประกาศประกาศยกเลิกการจัดจ้างครั้งที่ 2 ในวันที่ 9 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลากระชั้นชิดขณะเดียวกันทางประเทศญี่ปุ่นได้มีการเร่งรัดให้ต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 13 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันเปิดงาน
กรม สบส.จึงได้ตัดสินใจใช้วิธีการแบบเฉพาะเจาะจงแทนเนื่องจากเวลากระชั้นชิด โดยกระบวนการต้องมีการสืบราคาได้มีการส่งจดหมายลงทะเบียนไปให้กับผู้ที่สนใจที่เคยยื่นความประสงค์เข้ามาจำนวน 3 บริษัท แต่ปรากฎว่า มีเพียงบริษัทเดียวที่ตอบกลับมาซึ่งตามระเบียบพัสดุสามารถดำเนินการได้จึงจำเป็นต้องใช้ราคาของบริษัทนั้นในการทำเชิงเฉพาะเจาะจง
"สรุปราคาที่ยื่นกลับมา คือ 867,877,000 บาท แพงกว่าเดิมประมาณ 5 ล้านบาท และได้มีการประกาศให้ อาร์เอ็มเอหนึ่งร้อยสิบ เป็นผู้ชนะในวงเงิน 867,800,000 บาท ขอนำเรียนว่า กรม สบส.ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลฯไม่ได้รับธุรกรรมใด ๆ จาก บริษัท กิจการร่วมค้า อาร์เอ็มเอหนึ่งร้อยสิบ จำกัด แม้แต่เรื่องเดียว"
ด้านนายอุปถัมภ์ ชี้แจงประเด็นข้อสงสัยเรื่องของบริษัท กิจการร่วมค้า อาร์เอ็มเอหนึ่งร้อยสิบ จำกัด ที่เพิ่งเปิดยังไม่มีผลงานเมื่อได้งานแล้วก็ปิดบริษัทไปนั้น นายอุปถัมภ์ กล่าวว่า งานครั้งนี้เป็นงานต่างประเทศต้องใช้ผลงานอ้างอิง ต้องมีประสบการณ์ทำงานอาคารในต่างประเทศ ซึ่งบริษัท ไร้ท์แมน ฯ มีผลงานงานนิทรรศการในต่างประเทศที่มิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อปี 2020 โดยมีการร่วมทำกับ บริษัท สถาปนิก 110 จำกัด จึงใช้รูปแบบการเสนอราคาในรูปแบบของ "กิจการร่วมค้า"
การยื่นงานครั้งนี้ได้เพราะว่า ใช้บริษัท ไร้ท์แมนฯ เป็นบริษัทนำในการนำเสนอราคาและใช้ผลงานอ้างอิงโดยบริษัท ไร้ท์แมนฯ ถามว่า ทำไมบริษัท ไร้ท์แมนฯ ไม่ยื่นเอง ทำไมต้องมี สถาปนิก 110 หรือ ทำไมต้องมี "กิจการร่วมค้า" นั้น
นายอุปถัมภ์ ชี้แจงว่า ในงานนิทรรศการที่โอซาก้า ประกอบด้วย เนื้องานสำคัญ 2 ประการ ประการแรก คือ การสร้างอาคาร สถาปัตยกรรมในต่างประเทศ และสอง คือ การนำเสนอ เรื่องนิทรรศการ และเรื่องการจัดการซึ่งบริษัท ไร้ท์แมนฯ เป็นบริษัทออแกไนท์เซอร์ ที่ทำงานด้านนี้มานานปีนี้เป็นปีที่ 35 จึงต้องการความเชี่ยวชาญ จึงนำความเชี่ยวชาญด้านอีเว้นท์ รวมกับบริษัท สถาปนิก 110 จำกัด ซึ่งมีวิศวกรชั้นนำและเป็นบริษัทที่ทำงานมานานกว่า 50 ปี จึงได้มารวมกันและเข้ามายื่นงานในครั้งนี้ในนามของ "กิจการร่วมค้าอาร์เอ็มเอหนึ่งร้อยสิบ" ซึ่งเป็นการรวมตัวระหว่าง บริษัท ไร้ท์แมน และบริษัท สถาปนิก 110 ทั้งนี้ ยืนยันว่า "ไม่มี" บริษัทกิจการร่วมค้าอาร์เอ็มเอหนึ่งร้อยสิบ จำกัด ไปยื่นประมูลทั้งสามครั้งแต่อย่างใด
สำหรับ บริษัท กิจการร่วมค้าอาร์เอ็มเอหนึ่งร้อยสิบ จำกัด ที่ถูกตั้งคำถามเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้นั้น เมื่อดูไทม์ไลน์คือ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 และยกเลิกกิจการเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 ไทม์ไลน์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการยื่นงานทั้ง 3 ครั้งดังกล่าว ถามว่า แล้วจดทะเบียนจัดตั้งบริษัททำไม และทำไมต้องชื่อเดียวกันนั้น
นายอุปถัมภ์ อธิบายว่า ตอนที่ทำงานในรูปของ "กิจการร่วมค้า" ได้มีการปรึกษากันในระดับผู้บริหารว่า การทำงานในต่างประเทศนั้นจะต้องใช้ "นิติบุคคล" ซึ่งการจัดนิทรรศการครั้งนี้เป็นการไปสร้างนิทรรศการในต่างประเทศ นิทรรศการทั้งหมดบางส่วนที่นำกลับมาได้ต้องนำกลับมา
ทั้งนี้ การสินค้าทั้งไปและกลับไม่สามารถทำในลักษณะของ ทางศุลกากร แต่จะทำได้จะมีระเบียบของกรมศุลกากร ซึ่ง "กิจการร่วมค้า" ไม่สามารถทำได้ เป็นเรื่องการบริหารภายใน ด้วยข้อจำกัดของกิจการร่วมค้าจะทำลักษณะข้างต้นไม่ได้จึงต้องทำในรูปบริษัท เราจึงจัดตั้งขึ้น แต่ทางบัญชีให้คำปรึกษาว่า จะซ้ำซ้อนหลายขั้นตอน มีเรื่องภาษี จึงให้ใช้บริษัทใดบริษัทหนึ่งดำเนินการแทน ทำให้เรายกเลิกบริษัท กิจการร่วมค้าฯ ดังกล่าว