8 เมษายน 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ...หรือ ร่างพ.ร.บ.อสม. ถือเป็นก้าวแรก ก้าวสำคัญที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้อง อสม.ให้มีความมั่นคงขึ้น
หลังจากที่ตนเข้ารับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ก็ผลักดันเรื่องนี้เป็นลำดับแรกๆ ทันที ซึ่งใช้เวลา 11 เดือน กว่าจะผ่านการพิจารณาของ ครม. อย่างที่ทราบกันว่าระหว่างทางมีอุปสรรคปัญหาที่ต้องปรับแก้หลายรอบ กระทั่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็มาช่วยเร่งรัดทำให้กระบวนการต่างๆ เร็วขึ้น ซึ่งต้องแสดงความยินดีกับพี่น้อง อสม. แม้ว่ายังมีขั้นตอนที่ต้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แต่อย่างน้อยก็ได้ผ่าน ครม.แล้ว
เชื่อว่าในสภาฯ สส.จะร่วมกันผลักดันออกมาจนสำเร็จแน่นอน ซึ่งคงต้องรอสมัยประชุมหน้า เนื่องจากสมัยประชุมนี้กำลังจะปิดลงในวันที่ 11 เม.ย.นี้ หรือหากมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ สมัยวิสามัญ ก็อาจโชคดีที่จะได้พ่วง ร่าง พ.ร.บ.อสม.ฯ นี้เข้าสู่ที่ประชุมไปด้วย
ด้านนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. ..... ซึ่ง
สาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ อสม. เป็นกำลังสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพของประชาชนในชุมชนตามหลักการสาธารณสุขมูลฐาน และยกระดับทักษะและขีดความสามารถของ อสม. ให้ดำเนินการตามหลักการดังกล่าวได้สัมฤทธิ์ผล
ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายการประสานงานบริหารกิจการ อสม. และดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพภายในชุมชนให้เป็นไปอย่างมีระบบและรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. .... เป็นการยกระดับกฎหมายจากระเบียบ (ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. 2554) เป็นพระราชบัญญัติ
เพื่อให้การดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีความเข้มแข็ง และ อสม. ได้รับการคุ้มครองในระดับที่สูงขึ้น มีหลักประกันในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง และได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม ซึ่งร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ อสม. มี 3 ประเภท เหมือนเดิม ได้แก่
1. อสม.
2. อาสาสมัครสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร
3. อาสาสมัครสาธารณสุขอื่น ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของคณะกรรมการระดับประเทศ
กำหนดให้มีคณะกรรมการเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 คณะกรรมการ ส่งเสริมและสนับสนุน อสม. แบ่งเป็น 4 คณะ ได้แก่
จากเดิมกำหนดให้มี 3 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านกลาง, คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านระดับจังหวัด และคณะกรรมการส่งเสริมและคณะกรรมการสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร
โดยคณะกรรมการระดับประเทศทำหน้าที่ในการเสนอนโยบายด้านการดำเนินงาน อสม. คณะกรรมการระดับเขตสุขภาพทำหน้าที่ดำเนินการตามโยบายในการส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนสวัสดิการ ให้แก่ อสม. ที่คณะกรรมการระดับประเทศกำหนดไว้ และจัดสรรให้มี อสม. ในแต่ละจังหวัดในสัดส่วนที่กำหนด ส่วนคณะกรรมการระดับจังหวัดและคณะกรรมการกรุงเทพมหานครทำหน้าที่ลักษณะเดียวกัน โดยดำเนินการตามนโยบายที่คณะกรรมการระดับประเทศกำหนดไว้
กลุ่มที่ 2 คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขอื่น (เพิ่มจากเดิม) ทำหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายเพื่อส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุน อสม. อื่นซึ่งเกิดขึ้นตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
นอกจากนี้ได้ปรับปรุงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิขึ้นทะเบียน อสม. เช่น ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี แต่ไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
จากเดิม ต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี โดยมิได้กำหนดเกณฑ์อายุขั้นสูงและมิได้กำหนดลักษณะต้องห้ามไว้ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านประชากรสูงวัยของประเทศในปัจจุบันที่เพิ่มมากขึ้น
กำหนดบทบาทหน้าที่และมาตรฐานจริยธรรมของ อสม. โดยให้ อสม. มีบทบาทและหน้าที่ในการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน ดำรงตนและปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมตามที่คณะกรรมการระดับประเทศกำหนดไว้ เพื่อให้การปฏิบัติงานของ อสม. มีมาตรฐานยิ่งขึ้น
จากเดิม มิได้กำหนดบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับการดำรงตนและปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมไว้
ปรับปรุงวิธีร้องเรียน อสม. โดยให้ผู้ร้องเรียนยื่นคำร้องต่อนายทะเบียน เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการระดับจังหวัดต่อไป เพื่อให้วิธีปฏิบัติในการร้องเรียนมีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น (เดิม กำหนดให้หัวหน้าครัวร้อน หรือผู้แทนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หลังหาเรือนร่วมกันลงลายมือร้องเรียน อสม. ต่อนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เพื่อส่งให้คณะกรรมการะดับจังหวัดพิจารณาต่อไป)
เพิ่มเหตุของการพ้นสภาพจากการเป็น อสม. ได้แก่ การไม่ผ่านการประเมินมาตรฐานการปฏิบัติงานและได้รับโทษโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
จากเดิม กำหนดไว้เพียง 4 เหตุ ได้แก่ ตาย ลาออก เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมีคำสั่งให้พ้นสภาพ เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
รวมทั้งเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับ อสม. ได้แก่ สิทธิในการรวมกลุ่มในลักษณะชมรม สมาคม หรือมูลนิธิ และสิทธิในการแต่งเครื่องแบบ อสม.
จากเดิม มิได้กำหนดไว้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ อสม. และเป็นการสร้างเครือข่ายของ อสม. ให้มีความเข้มแข็ง
ตลอดจนเพิ่มเติมในเรื่องการสนับสนุนกิจการ อสม. โดยให้ความช่วยเหลือเยียวยาและให้สวัดิการแก่ อสม. 2 กลุ่ม คือ
1. อสม. ที่ปฏิบัติงานอยู่
2. อาสาสมัครสาธารณสุขอื่น เช่น อสม. ที่เป็นผู้สูงอายุซึ่งเคยปฏิบัติงาน จึงไม่ได้รับค่าป่วยการ (เนื่องจากร่างพระราชบัญญัตินี้กำหนดเพดานอายุขั้นสูงไว้ ทำให้ อสม. ผู้สูงอายุ ไม่ผ่านคุณสมบัติด้านอายุ และกำหนดให้มีการประเมินมาตรฐานการปฏิบัติงานซึ่งอาจไม่ผ่านการประเมินมาตรฐานได้)
โดยกำหนดให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นหน่วยงานกลางในการสนับสนุน ซึ่งเงิน ทรัพย์สิน และดอกผลที่ได้รับเพื่อใช้ใช้ในการสนับสนุนกิจการดังกล่าว เช่น รายได้จากการบริจาค เงินสมทบจาก อสม. และรายได้อื่น ๆ ไม่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องไม่นำเงินส่งคลังด้วยแล้วตามนัยมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เดิม มิได้กำหนดเงินและทรัพย์สินที่นำมาใช้ในการสนับสนุนกิจการ อสม.