KEY
POINTS
วันที่ 24 ธ.ค.69 นายไพศาล ก้อนจำปา รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) นำผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สพฉ. อาทิ นางธัญรัตน์ อินทร ผู้อำนวยการกลุ่มสื่อสารการแพทย์ฉุกเฉิน พบปะและให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจ และสื่อในเครื่อเนชั่น ถึงมาตรการเชิงรุกในการเตรียมความพร้อมรับมืออุบัติเหตุและเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีสถิติการเจ็บป่วยและสูญเสียเป็นกลุ่มก้อน โดย สพฉ. ได้บูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
สำหรับการปฏิบัติงานในปีนี้ สพฉ. จะเริ่มกระบวนการตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม ยาวไปจนถึงวันสรุปผลรวมทั้งสิ้น 9 วัน โดยจะทำงานร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงคมนาคม
สพฉ. จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการทรัพยากร ทั้งการกระจายรถพยาบาลและบุคลากร (Relocate) ให้ครอบคลุมจุดเสี่ยงและพื้นที่เกิดเหตุซ้ำซาก โดยอาศัยฐานข้อมูล 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ข้อมูลการเจ็บป่วยจากกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูลอุบัติเหตุจากกระทรวงคมนาคม และข้อมูลความปลอดภัยจากมหาดไทย เพื่อนำมาประเมินสถานการณ์และจัดการเหตุการณ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ไฮไลท์สำคัญของการเตรียมพร้อมครั้งนี้คือ "Sky Doctor" หรือเครือข่ายเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ ที่ปัจจุบันมีหน่วยปฏิบัติการ 28 หน่วยทั่วประเทศ โดยร่วมกับกองทัพ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกองบินฝนหลวง เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่เข้าถึงยากหรือการจราจรติดขัด
นอกจากนี้ สพฉ. ได้นำเทคโนโลยี AML (Advanced Mobile Location) มาใช้เพื่อแก้ปัญหาการระบุพิกัดผู้ป่วย ซึ่งในพื้นที่เมืองหนาแน่นระบบนี้มีความแม่นยำสูงถึง 5.6 เมตร และสามารถบอกความสูงในแนวดิ่งได้แม่นยำถึง 2.4 เมตร ทำให้ทราบทันทีว่าผู้ป่วยอยู่ชั้นไหนของอาคารโดยไม่ต้องเสียเวลาถามทาง
ระบบ AML ช่วยลดเวลาการเข้าถึงที่เกิดเหตุได้ประมาณ 4 นาที ซึ่งสำคัญมากต่อโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยวิกฤต โดยปกติในกรุงเทพฯ สถิติที่ดีที่สุดในการเข้าถึงที่เกิดเหตุคือ 20 นาที แต่หากมีระบบนี้จะช่วยลดเวลาลงเหลือเพียง 16 นาที
นางธัญรัตน์ เปิดเผยว่า ระบบ Video Call 1669 เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก โดยเฉพาะในเคสที่ผู้แจ้งทำอะไรไม่ถูก เจ้าหน้าที่จะส่งลิงก์ SMS ให้ผู้แจ้งเปิดกล้องเพื่อประเมินอาการและสอนวิธีการกู้ชีพเบื้องต้นแบบเรียลไทม์ เช่น การทำ CPR หรือการช่วยเหลือคนสำลักอาหาร
จากสถิติในเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีการใช้งานระบบ NDEMS กว่า 50,000 ครั้ง แบ่งเป็นการระบุพิกัดกว่า 15,000 ครั้ง และการใช้งาน Video Call กว่า 40,000 ครั้ง มีตัวอย่างความสำเร็จที่เป็นกระแสไวรัล เช่น การสอนคุณแม่มือใหม่ในจังหวัดภูเก็ตช่วยชีวิตทารกวัย 2 เดือนที่สำลักนม โดยเจ้าหน้าที่สอนให้ใช้มือตบหลังและใช้เพียงนิ้วมือกดหน้าอกจนช่วยเด็กได้สำเร็จ รวมถึงเคสผู้สูงอายุหมดสติกลางวงข้าวที่เจ้าหน้าที่สอนให้เอาสิ่งแปลกปลอมออกจากคอก่อนทำ CPR
ทั้งนี้ กลุ่มอาการที่โทรแจ้งสูงสุด 4 อันดับแรก ได้แก่ 1. ปัญหาทางเดินหายใจ 2. เจ็บหน้าอก 3. อาการทางสมอง และ 4. อุบัติเหตุ
สพฉ. เน้นย้ำเรื่อง สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) ซึ่งคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) ให้เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ทุกแห่งโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วง 72 ชั่วโมงแรก
อย่างไรก็ตาม มักเกิดปัญหาเรื่องดุลพินิจของแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ตรงกับญาติ สพฉ. จึงแนะนำให้ โทรแจ้ง 1669 เพื่อให้รถฉุกเฉินในระบบไปรับ เพราะหากเข้าสู่ระบบ 1669 จะมีการคัดกรองอาการตั้งแต่ต้นและยืนยันสิทธิวิกฤตสีแดงได้ชัดเจนกว่าการเดินทางไปเอง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธสิทธิหรือต้องจ่ายเงินมัดจำจำนวนมาก
นายไพศาล ระบุว่า ขอความร่วมมือจากประชาชน "อย่าโทรป่วนสายด่วน 1669" เพราะทุกครั้งที่มีคนโทรเล่น อาจทำให้สายของผู้ป่วยวิกฤตที่กำลังรอความตายไม่สามารถโทรติดได้ ซึ่งหมายถึงการสูญเสียชีวิตหรือความทุพพลภาพอย่างประเมินค่าไม่ได้