นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค หรือสภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนคัดค้านความพยายามของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ในการจัดทำหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงามและหลักสูตรอบรมระยะสั้นสำหรับแพทย์ พร้อมเตือนว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อมาตรฐานวิชาชีพแพทย์และเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้บริโภคจากบริการความงามที่ขาดมาตรฐานและความปลอดภัย
“การกำกับดูแลบริการเสริมความงามต้องตั้งอยู่บนหลักวิชาชีพทางการแพทย์ที่เข้มงวด มิฉะนั้นอาจนำไปสู่ปัญหาความเสียหายต่อผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันมีกรณีร้องเรียนเพิ่มต่อเนื่องจากความผิดพลาดในการทำหัตถการ “แม้บริการความงามจะช่วยเสริมบุคลิกและความมั่นใจ แต่หากมาตรฐานไม่แน่นอน ผู้บริโภคคือผู้เสี่ยงรับผลกระทบโดยตรง”
สภาผู้บริโภค ได้เสนอ 7 แนวทาง เพื่อให้เกิดการกำกับและคุ้มครองผู้ใช้บริการ ได้แก่ 1. มีตัวแทนผู้บริโภคร่วมเป็นคณะกรรมการนโยบายด้านความงาม 2. ให้แพทยสภาเป็นผู้กำหนดมาตรฐานวิชาชีพและจัดทำหลักสูตร 3. เปิดเผยคุณวุฒิบุคลากรทางการแพทย์ 4. ให้ สบส. เข้มงวดการควบคุมการโฆษณาเกินจริง 5. จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหาย 6. การเข้มงวดการตรวจสอบคุณภาพสถานพยาบาล และ 7. การจัดเวทีหารือระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับมาตรฐานเสริมความงามสู่ระดับสากล
ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดี สบส. ยืนยันว่า สบส. เปิดรับข้อเสนอของสภาผู้บริโภคและพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยระบุว่าอุตสาหกรรมความงามไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีคลินิกเวชกรรมกว่า 19,900 แห่งทั่วประเทศ และกว่า 8,600 แห่งเป็นคลินิกความงาม โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีการขอเปิดใหม่เฉลี่ยเดือนละ 90 แห่ง
“เรายอมรับว่าปัญหาหลักคือมาตรฐานการปฏิบัติงานของแพทย์ทั่วไปที่เข้ามาในตลาดความงามโดยไม่มีการฝึกอบรมเพียงพอ” ทันตแพทย์อาคมกล่าว พร้อมชี้ว่าช่องว่างทางกฎหมายจากนิยาม มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมเปิดโอกาสให้แพทย์ทั่วไปทำหัตถการเสริมความงามได้ แม้จะไม่จำเป็นต้องผ่านการฝึกอบรมเฉพาะด้าน ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อผู้บริโภค
ทั้งนี้สบส. พร้อมถอยบทบาททันทีหากองค์กรวิชาชีพมีมาตรฐานการกำกับและระบบรับรองที่ชัดเจน “เราไม่ยึดติดว่าจะต้องเป็นผู้ทำหลักสูตร หากแพทยสภามีมาตรฐานที่เข้มแข็งเพียงพอ เราพร้อมสนับสนุนและมอบอำนาจให้ทันที”
สำหรับการควบคุมโฆษณา สบส. ย้ำว่า ได้มีมาตรการเข้มงวด โดยสถานพยาบาลต้องขออนุญาตโฆษณาก่อนเผยแพร่ และมีการดำเนินคดีเฉลี่ยเดือนละ 40–50 คลินิก รวมถึงเพิ่มโทษตามกฎหมายใหม่ หากฝ่าฝืนอาจถูกพักใบอนุญาตสูงสุด 6 เดือน
ส่วนการเยียวยาผู้เสียหายนั้น สบส. เคยผลักดันร่างกฎหมายตั้งกองทุนเยียวยาคล้ายมาตรา 41 ของ สปสช. และมีแนวคิด “ประกันความงาม” แต่ติดข้อจำกัดกฎหมาย คปภ. ขณะเดียวกันกำลังพัฒนามาตรฐาน “SSO” เพื่อใช้ประเมินคุณภาพสถานพยาบาลภาครัฐและเตรียมขยายไปภาคเอกชน
พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ ศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ระบุว่า หลักสูตรแพทยศาสตร์ทั่วไปไม่ได้สอนศัลยกรรมความงามในระดับลึก จึงไม่ควรอนุญาตให้แพทย์ทั่วไปทำหัตถการเสริมความงามเพียงผ่านอบรมสั้น “ชีวิตผู้ป่วยไม่ควรเป็นสนามทดลอง” เขากล่าว พร้อมเรียกร้องให้กำหนด “สิทธิการปฏิบัติงาน” (Privilege) ของแพทย์แต่ละคนอย่างโปร่งใส เพื่อให้ผู้บริโภคตรวจสอบได้
รศ.นพ.ภาวิน เกษกุล ประธานราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย เสริมว่าแพทย์ใช้เวลาต่อเฉพาะทางกว่า 5 ปี ผ่านการฝึกหนักทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ดังนั้นหลักสูตร 3 เดือน “รับไม่ได้โดยสิ้นเชิง” เพราะเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนและความผิดพลาดที่อาจต้องกลับมารักษาในโรงเรียนแพทย์
นพ.ชาติชัย อติชาติ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ ระบุว่าระบบควรยึดความเชี่ยวชาญตามโครงสร้างหน้าที่ “สบส. คือผู้กำกับ แพทยสภาเป็นกรรมการ สถาบันการฝึกคือโค้ช หากผู้กำกับลงมาเป็นโค้ชเองจะผิดหลักธรรมาภิบาล” พร้อมเสนอให้จัดทำ “ประกาศสิทธิผู้รับบริการความงาม” เพื่อชี้แจงคุณวุฒิแพทย์และขอบเขตการทำงานของแต่ละคลินิกให้ชัดเจน
ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพรวมว่า แม้บริการความงามจะเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วและสร้างเม็ดเงินจำนวนมาก แต่การกำกับดูแลต้องเข้มงวดเพียงพอเพื่อปกป้องชีวิตและสิทธิของประชาชน ขณะที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าระบบมาตรฐานต้องโปร่งใส ยึดวิชาชีพ และยกประโยชน์ผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง