บางกอก เชนฯ รุกสมรภูมิสุขภาพครบวงจร ทุ่ม 6 พันล้าน รับดีมานด์สุขภาพโตแรง

31 ต.ค. 2568 | 22:33 น.

บางกอก เชน ฮอสปิทอล รุกสมรภูมิสุขภาพครบวงจร บุกตลาดอาหารเสริม ทุ่ม 6 พันล้าน ปักธงเครือข่ายรพ.ครบ 20 แห่ง ขยายฐานลูกค้าประกันสังคม–ต่างชาติ รับดีมานด์สุขภาพโตแรง

KEY

POINTS

  • บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ทุ่มงบลงทุนราว 5,000-6,000 ล้านบาท เพื่อขยายเครือข่ายโรงพยาบาลให้ครบ 20 แห่ง โดยมีแผนสร้างโรงพยาบาลใหม่ที่ระยองและสมุทรปราการ
  • รุกธุรกิจสุขภาพครบวงจรโดยขยายเข้าสู่ตลาดอาหารเสริม ผ่านการลงทุนในบริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ (SNPS) เพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์โรงพยาบาล
  • การลงทุนดังกล่าวมีขึ้นเพื่อรองรับความต้องการบริการทางการแพทย์และเทรนด์รักสุขภาพที่เติบโตสูง โดยบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีละ 10-12%

นายกันตพร หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า เทรนด์โลก (Global Trend) ด้าน Health Care ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยสำคัญคือผู้คนรักสุขภาพมากขึ้น มีอายุยืนยาวขึ้น และมีโรคภัยไข้เจ็บที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เรื่องสุขภาพกลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก และเป็นเซ็กเมนต์หนึ่งที่มีการเติบโตสูงในทุก ๆ ปี จนเรามักจะเห็นธุรกิจ Health Care ติดอันดับ Top 1 หรือ Top 2 ของธุรกิจที่รุ่งโรจน์ที่จัดโดยหอการค้าเสมอ

โดยแนวโน้มที่คนอายุยืนขึ้น แต่กลับมีโรคมากขึ้นนั้นแปลว่าความต้องการบริการทางการแพทย์มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่คนอยู่คนเดียว ไม่แต่งงาน หรือไม่มีลูก ทำให้เงินที่เก็บมาทั้งชีวิตส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นรางวัลแก่ตัวเอง นั่นคือการใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพและความสวยความงาม โดยรวมแล้วเทรนด์การใช้จ่ายจึงเป็นไปในลักษณะนี้

สำหรับส่วนที่เป็นปัญหาของอุตสาหกรรมในภาพรวม อาจเป็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ สปสช. (บัตรทอง) อย่างไรก็ดี บริษัโชคดีที่ไม่ได้เข้าร่วมรับบัตรทอง 30 บาท ขณะที่นโยบายการซื้อยานอกโรงพยาบาล ซึ่งเป็นนโยบายเดิมที่ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่นั้น ประเมินว่านโยบายนี้จะไม่กระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากเหตุผลหลักคือลูกค้าส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนกลุ่มนี้ ซึ่งมีจำนวนเกินครึ่ง มีประกันสุขภาพอยู่แล้ว และการรับใบสั่งยาเพื่อไปซื้อยาข้างนอกนั้น "ไม่ใช่ behavior" (พฤติกรรม) ของคนไข้ในกลุ่มนี้

ปัจจุบันบริษัทยังคงเดินหน้าตามเป้าหมายในการขยายโรงพยาบาลให้ครบ 20 แห่ง โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 16 แห่ง ทำให้ยังขาดอีก 4 แห่งเพื่อให้ครบตามเป้าหมาย ซึ่งแผนการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติแล้วมีจำนวน 2 แห่ง ใช้งบประมาณการลงทุนต่อที่อยู่ที่ประมาณ 1,500 ถึง 1,600 ล้านบาท

แห่งแรกคือที่จังหวัดระยอง ซึ่งพึ่งลงเสาเข็มไปและแห่งที่สองคือที่จังหวัดสมุทรปราการ บริเวณบางพลี ซึ่งจะใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ โดยจะมีพิธีลงเสาเอกจัดขึ้นในวันที่ 3 เดือนหน้า โรงพยาบาลทั้งสองแห่งนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571-2572 มีคอนเซ็ปต์หลักในการเปิดเป็นโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ที่รองรับประกันสังคม มีจำนวนเตียงในเฟสแรกไม่เกิน 150 เตียง และสามารถขยายได้เต็มที่ถึง 200-300 เตียง โดยตั้งเป้ารองรับฐานผู้ป่วยประกันสังคมหลัก 200,000 คน

นอกจากสองโครงการที่อนุมัติแล้ว ยังมีแผนการลงทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีก 1 แห่ง คือที่พัทยาซึ่งจะเป็นโรงพยาบาลนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ และอีก 1 แห่งที่ยังไม่ได้มีแผนอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท โดยงบลงทุนรวมทั้งหมดสำหรับการขยายเครือข่ายนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท

ส่วนแผนการเข้าซื้อกิจการ (M&A) กำลังมองหาดีลอยู่หลายอัน แต่ยังไม่มีข้อสรุป ส่วนใหญ่จะเป็นโรงพยาบาลแบบ stand-alone ที่พร้อมจะ Exit นโยบายคือจะไม่ซื้อในพื้นที่ที่มีโรงพยาบาลของเครืออยู่แล้ว

ในด้านการเงินบริษัทมีกำไรสะสมเป็นเงินสดอยู่ในบริษัทเกือบ 8,000 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ช่วงโควิด หนี้สินบริษัทมีหนี้น้อยมาก และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพียงพอต่อการจ่ายเงินลงทุนใหม่

โดยรายได้ปัจจุบันตั้งเป้า 12,000 ล้านบาท สิ้นปีนี้ เติบโตปีละ 10-12% ทุกปี คาดว่าปีหน้าอาจจะถึง 13,000 ล้านบาท ได้ ส่วนผลประกอบการ 2 ไตรมาสที่ผ่านมามีการเติบโตวอร์ดเต็มหมด โดยสัดส่วนรายได้ประกันสังคม 30-40% เงินสดราว 60-70% ในส่วนเงินสดนี้เป็นรายได้จากประกันอยู่เกือบครึ่งหนึ่ง และต่างชาติราว 5-7%

สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โรงพยาบาลในเครือมีฐานลูกค้าหลักจากประเทศในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า และ ลาว ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ เนื่องจากบริษัทมีการเข้าไปลงทุนตั้งโรงพยาบาลในลาว ส่วนจำนวนลูกค้าจากกัมพูชาได้ลดลงในช่วงกลางปีที่ผ่านมา

นายกันตพร หาญพาณิชย์

ในส่วนของแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทพึ่งมีการขยายไปที่ประเทศลาวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และหากมีการพิจารณาขยายเพิ่มเติมในอนาคต อาจจะมองไปที่ลาวทางฝั่งใต้ คือที่เมืองปากเซ เป็นเป้าหมาย

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มตะวันออกกลางยกเว้นประเทศคูเวต โดยประเทศคูเวตเคยเป็นกลุ่มลูกค้าหลักอันดับหนึ่งที่มาใช้บริการ แต่ได้ประสบปัญหาภายในประเทศอย่างการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ทำให้มีการยกเลิกสวัสดิการที่สถานทูตเคยรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่คนไข้ทั้งหมด ส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่คือลูกค้ากลุ่มนี้หายไป

ทำให้รายได้หายไปประมาณเกือบ 60 ล้านบาท ในปีที่แล้ว และผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้หายไปแล้วเป็นระยะเวลากว่าปีครึ่ง อย่างไรก็ตามกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลางยังคงมีการใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ดีและต่อเนื่องคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์, และโอมาน โดยโรคหลักของผู้ป่วยอันดับหนึ่งคือ โรคเบาหวาน เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคที่ชอบรับประทานหวานมาก และอันดับสองคือโรคทางกระดูก

ขณะเดียวกันบริษัทกำลังรุกเข้าสู่ธุรกิจอาหารเสริม เพื่อสร้างเป็นอีกขาหนึ่งของรายได้โดยได้เริ่มเข้าสู่ตลาดแล้วผ่านการลงทุนด้วยการเข้าซื้อหุ้น บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (SNPS) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และทำธุรกิจ OEM ในการผลิตอาหารเสริมที่ใช้สมุนไพรไทย มีการลงทุนซื้อหุ้นล็อตแรกไปในหลัก 100 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมปีที่แล้ว

โดยเรามองว่าบริษัท SNPS เป็นผู้ผลิตอาหารเสริมรายใหญ่ที่สุดในไทย แม้จะทราบดีว่าตลาดอาหารเสริมมีความยากในเรื่องความน่าเชื่อถือ แต่บริษัทมั่นใจว่า แบรนด์ของโรงพยาบาล จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการขายสินค้าได้

สำหรับภาพรวมตลาดอาหารเสริมในประเทศไทย ปี 2567 มีมูลค่า 85,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าปี 2568 จะแตะที่ 90,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์หลักในตลาดจะอยู่ใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ มัลติวิตามิน (ครอบคลุมวิตามิน เอ ถึง ซิงก์), กลุ่มสกิน (เช่น คอลลาเจน กลูต้า และงานผิว), กลุ่มโปรตีน (รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กินแทนอาหาร) และกลุ่มไฟเบอร์และโปรไบโอติก

ผลิตภัณฑ์แรกที่บริษัทจะเปิดตัวคือ กลุ่มโปรตีน โดยมีความตั้งใจที่จะเปิดตัวให้ทันภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่หากไม่ทันก็น่าจะเห็นในช่วงไตรมาส 1 ของปีหน้า โดยราคาโปรตีนจะอยู่ในระดับกลาง ๆ และจะเริ่มผลิตในล็อตแรกด้วยจำนวนขั้นต่ำประมาณ 100,000 ยูนิต ทั้งนี้รายได้ที่เกิดจากธุรกิจอาหารเสริมจะถูกรวมอยู่ในรายได้ของบริษัทโรงพยาบาล โดยยังไม่มีการตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ที่ชัดเจน

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการร่วมมือทางธุรกิจโดยอยู่ระหว่างการเจรจาทำความร่วมมือกับบริษัทที่เป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพ (แต่ไม่ใช่กลุ่ม Big 4) เพื่อร่วมกันพัฒนาสูตรและทำผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในรูปแบบแบรนด์ร่วมกันต่อไป