Longevity Economy เศรษฐกิจอายุยืน พลิกโลกธุรกิจสุขภาพยุคใหม่

26 ต.ค. 2568 | 03:06 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ต.ค. 2568 | 08:01 น.

เปิดแนวคิด “Longevity” วิทยาศาสตร์แห่งอายุยืนที่ทั่วโลกจับตา จากห้องแล็บสู่เศรษฐกิจสุขภาพมูลค่าหลายล้านล้านบาท เปลี่ยนวิถีมนุษย์อยู่ยืนอย่างมีคุณค่า

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจอายุยืน (Longevity Economy) คือโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองต่อสังคมสูงวัยทั่วโลก โดยเน้นการยืดช่วงเวลาของการมีสุขภาพดี (Healthspan) ไม่ใช่แค่การมีอายุยืนยาว
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีหลากหลาย ตั้งแต่สุขภาพเชิงป้องกัน, เทคโนโลยีสุขภาพ (Health Tech), เวชศาสตร์ชะลอวัย, โภชนาการเฉพาะบุคคล ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงวัย
  • ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แล้ว ทำให้ตลาดนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยภาครัฐและเอกชนต่างปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการด้านสุขภาพที่เปลี่ยนไป
  • ความท้าทายสำคัญของไทยคือการทำให้บริการและเทคโนโลยีด้าน Longevity เข้าถึงได้สำหรับคนทุกกลุ่ม ไม่กระจุกตัวแค่ในกลุ่มผู้มีรายได้สูง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “Longevity” เริ่มปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นในวงการแพทย์ วิทยาศาสตร์ รวมถึงโลกธุรกิจและนโยบายสาธารณะ หลายประเทศมองแนวคิดนี้ว่าเป็น “โอกาสทองของศตวรรษที่ 21” เพราะสังคมทั่วโลกกำลังก้าวสู่ยุคที่ผู้คนมีอายุยืนยาวกว่าที่เคย และมีความต้องการ “สุขภาพดีไปพร้อมกับอายุยืน” มากกว่าการมีชีวิตที่ยาวนานเฉย ๆ

คำว่า Longevity แปลตรงตัวว่า “ความยืนยาวของชีวิต” หรือ “อายุยืน” แต่ในเชิงลึกแล้ว หมายถึงการมีชีวิตที่ยาวขึ้นพร้อมสุขภาพกายและใจที่ดี นักวิทยาศาสตร์เรียกช่วงเวลานี้ว่า Healthspan หรือ “ช่วงอายุสุขภาพดี” ซึ่งต่างจาก Lifespan ที่หมายถึงอายุขัยโดยรวมตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต

เป้าหมายของ Longevity จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มตัวเลขอายุ แต่คือการ “ยืดช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ” นั่นคือสามารถเดินได้ ทำงานได้ ดูแลตัวเองได้ และยังคงมีความสุขกับสิ่งรอบตัวไปจนถึงวัยชรา

แนวคิด Longevity มีพื้นฐานจากสาขาวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Geroscience หรือชีววิทยาแห่งความชรา ศึกษาสาเหตุที่ทำให้เซลล์และอวัยวะเสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น เช่น การอักเสบเรื้อรัง การสั้นลงของเทโลเมียร์ (ส่วนปลายของโครโมโซม) และการสะสมของเซลล์เสื่อม (Senescent Cells)

การชะลอความเสื่อมของเซลล์เหล่านี้อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ หรืออัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้สูงอายุทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามามีบทบาท เช่น

  • Senolytic Drugs ยาที่ช่วยกำจัดเซลล์ชราออกจากร่างกาย
  • Regenerative Medicine หรือเวชศาสตร์ฟื้นฟู เช่น การใช้สเต็มเซลล์ซ่อมแซมอวัยวะ
  • AI for Longevity ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพเชิงลึก เพื่อออกแบบโปรแกรมดูแลเฉพาะบุคคล
  • Nutritional Science ที่มุ่งเน้นโภชนาการเชิงป้องกัน เช่น การจำกัดเวลาในการกิน (Intermittent Fasting) หรือการควบคุมเมตาบอลิซึมของร่างกาย

 

กล่าวได้ว่า Longevity ไม่ใช่เรื่องของ “ยาอายุวัฒนะ” หากแต่เป็นการรวมพลังของวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อยืดช่วงเวลาที่เรามีสุขภาพแข็งแรงที่สุดในชีวิต

แนวโน้มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกำลังพลิกโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจโลก องค์การสหประชาชาติคาดว่า ภายในปี 2050 โลกจะมีประชากรอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 2,000 ล้านคน ทำให้เกิดเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “Longevity Economy” หรือ “เศรษฐกิจอายุยืน”

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Longevity เติบโตครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่

  • สุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Health) เช่น โปรแกรมตรวจยีน วิเคราะห์เมตาบอลิซึม คลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัย
  • เทคโนโลยีสุขภาพ (Health Tech) เช่น Smartwatch, Wearables, แอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ
  • การเงินและประกันชีวิตระยะยาว ที่ออกแบบเพื่อคนอายุยืน
  • อสังหาริมทรัพย์และชุมชนผู้สูงวัยอัจฉริยะ (Senior Living / Smart Home for Elders)
  • ตลาดอาหารและโภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition)

ส่วนประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” แล้วในปี 2568 โดยประชากรกว่า 20% มีอายุเกิน 60 ปี ซึ่งหมายความว่า “คนรุ่นใหม่ในวันนี้” จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้สูงวัยจำนวนมาก และระบบเศรษฐกิจทั้งหมดต้องปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้

นโยบายด้านสุขภาพจึงเริ่มหันมาเน้น “ป้องกันก่อนป่วย” เช่น โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงลึก โภชนาการเฉพาะบุคคล และการส่งเสริมกิจกรรมออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละวัย ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็กำลังขยับสู่ตลาด Longevity เช่น ธุรกิจเฮลท์เทค โรงพยาบาลเฉพาะทาง เวชศาสตร์ฟื้นฟู ไปจนถึงโครงการบ้านผู้สูงอายุอัจฉริยะ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของไทยคือ “การเข้าถึง” — ทำอย่างไรให้คนไทยทุกกลุ่มมีโอกาสใช้บริการ Longevity ได้ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มรายได้สูงเท่านั้น