นายแพทย์อารอน เชีย เซียน เซีย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไดมอนด์ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยเกิดจากการศึกษาตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมั่นใจในศักยภาพของไทยที่เป็น Medical Hub ทั้งในด้านบุคลากรการแพทย์และการเติบโตของตลาดความงาม
รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการสนับสนุนการลงทุน บริษัทเชื่อมั่นในความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างเค.เอ็น.เอ. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดและเครือข่ายแพทย์ความงาม ซึ่งจะช่วยขยายตลาดในไทยและภูมิภาคเอเชีย
รวมถึงตะวันออกกลาง โรงงานในไทยจะเป็นฐานการผลิตหลักในเอเชีย ดูแลตลาดในเอเชียและตะวันออกกลาง ส่วนศูนย์ในไต้หวันจะดูแลตลาดยุโรปและอเมริกา โดยคาดว่าไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือแพทย์ความงามในเอเชีย และสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการร่วมลงทุนราว 2,500 ล้านบาท และจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ “เอสเธทิคส์ อลิแอนซ์ ออล” (Aesthetic Alliance All) เป็นโรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์ที่จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่ 5 ไร่ นอกนิคมอุตสาหกรรม แบ่งเป็น ภายใต้ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องจักร และการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์ที่มีมาตรฐานสากล
และอีก 2,000 ล้านบาทสำหรับการพัฒนาสิทธิบัตรการผลิต 4 รายการในระยะแรกจะเริ่มผลิต 2 รายการก่อน ได้แก่ 1. ไหมยกกระชับ และ 2. Biostimulator (กระตุ้นคอลลาเจน) ส่วนอีก 2 รายการยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน โดยจะเริ่มก่อสร้างโรงงานในวันที่ 1 ม.ค. 2569 และคาดว่าจะเริ่มกระบวนการผลิตได้ในปี 2570
“ตลาดเป้าหมายโครงการนี้จะเริ่มต้นในประเทศไทย ก่อนจะขยายไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ติมอร์-เลสเต บรูไน และประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง
การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์นี้จะใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีจากไต้หวัน เพื่อยกระดับให้เทียบเท่ามาตรฐานระดับโลก โดยมีสัดส่วนการส่งออก 70% และใช้ในประเทศไทย 30%”
สำหรับเป้าหมายการส่งออกในปีแรกคาดว่าจะมีรายได้ 500 ล้านบาทและจะคืนทุนภายใน 3 ปีนับจากปี 2570 จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการนำเข้าและภาษีได้ถึง 30% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้การย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย ก็จะทำให้ผู้บริโภคได้รับบริการด้วยต้นทุนที่ถูกลง ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจึงเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศ และสร้างงานให้กับตลาดแรงงานไทยด้วย
ขณะที่ในระยะ 5 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนขยายไปยังประเทศอื่นๆ โดยมีแผนสร้างโรงงานในจีน ขณะเดียวกัน บริษัทแม่ในไต้หวันยังมีแผนที่จะพัฒนาโปรดักส์ใหม่อีก 2 ตัวในปี 2569 และ 3 ปีข้างหน้า รวมทั้งมีแผนส่งออกไปยังตลาดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระยะแรก และคาดหวังว่าจะสามารถส่งออกไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกาในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากการส่งออก 10% ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า
ด้านนายแพทย์รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง และผู้ก่อตั้ง Rassapoom Clinic กล่าวว่า ตลาดความงามในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท เติบโต 2.8% ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ระบุว่า ธุรกิจความงามในประเทศไทยยังคงเติบโตมาอย่างสม่ำเสมอตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และถือเป็นหนึ่งใน 10 ธุรกิจที่น่าจับตามองในปี 2568
การเติบโตของตลาดความงามนั้นยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าความงามในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 30-60 ปี ซึ่งมีความสนใจในเรื่องรูปร่างและสุขภาพทั้งภายในและภายนอกมากขึ้น ทำให้การแข่งขันในธุรกิจความงามสูงขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่นายนาดิ้รชา ปาทาน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค.เอ็น.เอ. อินเตอร์ฟาร์มา จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทจะเน้นการออกอีเวนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมใช้ KOL เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ รวมถึงการทำการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด
ความร่วมมือกับไดมอนด์ ไบโอเทคโนโลยีเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างวิสัยทัศน์ของเค.เอ็น.เอ. ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความงามครบวงจร และพัฒนาอุตสาหกรรมความงามไทยอย่างยั่งยืน
บริษัทมองเห็นศักยภาพของไดมอนด์ ไบโอเทคโนโลยี ในการนำเทคโนโลยีชีวการแพทย์และเครื่องมือแพทย์ที่ได้รับมาตรฐานสากลมาสู่ประเทศไทย การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแค่การลงทุนร่วมกัน แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานวงการความงามไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,115 วันที่ 20 - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568