1 ธันวาคม วันเอดส์โลก (World AIDS Day)

01 ธ.ค. 2567 | 08:28 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ธ.ค. 2567 | 08:36 น.

1 ธันวาคม “วันเอดส์โลก” ร่วมรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อ HIV ลดเสี่ยงโรคเอดส์

องค์การอนามัยโลก กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันเอดส์โลก” (World AIDS Day) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อHIV

โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 แต่ในขณะนั้นจะรู้จักเพียงเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ต่อมามีการแพร่ระบาดโรคนี้ไปอย่างรวดเร็วและทั่วโลก จนมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากจนเป็นที่น่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา

เชื้อ HIV และโรค AIDS แตกต่างกันอย่างไร ?

HIV ย่อมาจาก human immunodeficiency virus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเชื้อ HIV จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า CD4 (ซีดีโฟร์) ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง จนทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่างๆ เช่น วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา ปอดอักเสบจากเชื้อรา

รวมทั้งเกิดมะเร็งบางชนิดได้มากกว่าคนปกติ ซึ่งอาการอาจจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต อย่างไรก็ตามผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่ยังมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดีพอสมควร เราจะเรียกว่า “ผู้ติดเชื้อ HIV” และผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำลงจนกระทั่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเกิดอาการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสเราจะเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์ (AIDS)”

1 ธันวาคม วันเอดส์โลก (World AIDS Day)

สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้น เป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี 2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์ จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยในปี 2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ในปี 2527 ประเทศไทยเริ่มมีโรคเอดส์เกิดขึ้นตามรายงานครั้งแรก และในช่วง ปี 2527 - 2533 จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบให้มีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับโรคเอดส์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2528 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน

และเพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ

1. เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์

2. เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ

3. เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

4. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ

5. เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ในทุกวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ทั่วโลกจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง

อาการของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้รับเชื้อมา

1.ระยะแรก ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ คนไข้จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น ไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่น เป็นต้น โดยอาการในระยะนี้สามารถหายได้เอง

2.ระยะที่ไม่มีอาการแสดงใดๆ ประมาณ 5-10 ปี

3.ระยะท้าย หลังจากติดเชื้อ 5-10 ปี หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่ำมากจนสามารถติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ ได้ และมีอาการแสดงของการติดเชื้อฉวยโอกาสนั้นๆ เช่น การติดเชื้อราในสมอง เป็นต้น

ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HIV

1. ผู้ที่มีอาการหรืออาการแสดงที่เข้าได้กับการติดเชื้อเอชไอวีหรือเอดส์

2. ผู้ที่มีการติดเชื้อที่สงสัยว่าจะเป็นเชื้อฉวยโอกาส

3. ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ B หรือ C

4. ผู้ที่มีหรือเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน รวมถึงเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย – ชาย หรือ ชาย – หญิง

5. ผู้ป่วยวัณโรค

6. ผู้ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

7. ผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีดและใช้เข็มร่วมกัน

8. หญิงตั้งครรภ์และสามี

9. ทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี

10. บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี

11. ผู้ถูกกล่าวหาและผู้ถูกละเมิดทางเพศ

12. ผู้ที่ต้องการตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือผู้ที่วางแผนมีบุตร

13. ผู้ที่อยู่ระหว่างการรับยาป้องกันก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP หรือ PEP)

การป้องกันการติดเชื้อ HIV

  • ใช้ถุงยางอนามัยเวลามีเพศสัมพันธ์
  • ใช้ยาป้องกันเชื้อเอชไอวี
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

 

ข้อมูล : วิกิพีเดีย, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่