องค์การอนามัยโลก กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันเอดส์โลก” (World AIDS Day) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อHIV
โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 แต่ในขณะนั้นจะรู้จักเพียงเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ต่อมามีการแพร่ระบาดโรคนี้ไปอย่างรวดเร็วและทั่วโลก จนมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากจนเป็นที่น่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา
HIV ย่อมาจาก human immunodeficiency virus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเชื้อ HIV จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า CD4 (ซีดีโฟร์) ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง จนทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่างๆ เช่น วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา ปอดอักเสบจากเชื้อรา
รวมทั้งเกิดมะเร็งบางชนิดได้มากกว่าคนปกติ ซึ่งอาการอาจจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป และอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต อย่างไรก็ตามผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่ยังมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ดีพอสมควร เราจะเรียกว่า “ผู้ติดเชื้อ HIV” และผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำลงจนกระทั่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเกิดอาการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสเราจะเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์ (AIDS)”
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้น เป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี 2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์ จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยในปี 2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ในปี 2527 ประเทศไทยเริ่มมีโรคเอดส์เกิดขึ้นตามรายงานครั้งแรก และในช่วง ปี 2527 - 2533 จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคเอดส์มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบให้มีคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับโรคเอดส์แห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2528 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน
และเพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ คือ
1. เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์
2. เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ
3. เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
4. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ
5. เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ในทุกวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ทั่วโลกจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ในวันเอดส์โลก เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนได้ให้ความเห็นใจและห่วงใยต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย ตลอดจนให้ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อันจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การขยายตัวของโรคนี้ลดน้อยลง
อาการของผู้ที่ติดเชื้อ HIV ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้รับเชื้อมา
1.ระยะแรก ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ คนไข้จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น ไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่น เป็นต้น โดยอาการในระยะนี้สามารถหายได้เอง
2.ระยะที่ไม่มีอาการแสดงใดๆ ประมาณ 5-10 ปี
3.ระยะท้าย หลังจากติดเชื้อ 5-10 ปี หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่ำมากจนสามารถติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ ได้ และมีอาการแสดงของการติดเชื้อฉวยโอกาสนั้นๆ เช่น การติดเชื้อราในสมอง เป็นต้น
1. ผู้ที่มีอาการหรืออาการแสดงที่เข้าได้กับการติดเชื้อเอชไอวีหรือเอดส์
2. ผู้ที่มีการติดเชื้อที่สงสัยว่าจะเป็นเชื้อฉวยโอกาส
3. ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ B หรือ C
4. ผู้ที่มีหรือเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน รวมถึงเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย – ชาย หรือ ชาย – หญิง
5. ผู้ป่วยวัณโรค
6. ผู้ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
7. ผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีดและใช้เข็มร่วมกัน
8. หญิงตั้งครรภ์และสามี
9. ทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี
10. บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
11. ผู้ถูกกล่าวหาและผู้ถูกละเมิดทางเพศ
12. ผู้ที่ต้องการตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือผู้ที่วางแผนมีบุตร
13. ผู้ที่อยู่ระหว่างการรับยาป้องกันก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP หรือ PEP)
ข้อมูล : วิกิพีเดีย, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่