หลายคนเคยทำตาม “กฎ 5 วินาที” ที่กล่าวว่า ถ้าอาหารตกลงไปบนพื้นแล้วเก็บขึ้นมาภายใน 5 วินาที ก็จะไม่เป็นอันตรายจากการปนเปื้อนเชื้อโรค
แต่คำถามนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมานานว่า วิธีนี้ได้ผลจริงหรือไม่? นักวิทยาศาสตร์จากชิคาโกได้ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับกฎนี้ โดยการทดสอบทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการปนเปื้อนจากพื้น ผ่านการทดลองที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าตกใจ
นิโคลัส ไอเชอร์ นักวิเคราะห์คุณภาพอาวุโส จากเมืองชิคาโกได้ทำการทดลองในรูปแบบของการทดสอบไมโครไบโอมเพื่อดูว่าหากอาหารตกลงบนพื้นในระยะเวลาที่ต่างกัน ตั้งแต่ 0 วินาที ถึง 1 นาที จะมีการปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียมากน้อยเพียงใด
ในการทดลองนี้ ไอเชอร์ได้ใช้จานเพทรี (Petri dish) ซึ่งเป็นภาชนะที่ใช้ในการเพาะเชื้อและเอาไปวางบนพื้นในช่วงเวลาต่างๆ และนำไปเพาะเชื้อในห้องเพาะเชื้อ (incubator) เพื่อตรวจสอบว่ามีการเจริญเติบโตของแบคทีเรียหรือไม่
ผลการทดลองที่ได้คือ ทุกตัวอย่างที่ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 วินาทีจะมีการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยตัวอย่างที่ถูกทิ้งไว้นานที่สุด 1 นาที มีการปนเปื้อนที่มากที่สุด
ในขณะที่ตัวอย่างที่ทิ้งไว้แค่ 0 วินาที (เพียงแค่ตกลงไปและเก็บขึ้นทันที) ก็พบการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่สำคัญเช่นกัน ซึ่งทำให้ไอเชอร์สรุปว่า
“ไม่ว่าอาหารจะตกลงบนพื้นเป็นเวลา 5 วินาทีหรือ 60 วินาที มันก็ยังคงมีการปนเปื้อนเชื้อโรคอยู่ดี”
การทดลองนี้ได้สร้างความตกใจให้กับผู้ที่เชื่อมั่นใน “กฎ 5 วินาที” หลายคน โดยมีความคิดเห็นว่า “ฉันจะไม่ทานอาหารที่ตกพื้นอีกแล้ว” แต่ก็ยังมีคนที่ไม่เชื่อผลการทดลองนี้ โดยกล่าวว่า “ฉันยังคงทำตามกฎ 5 วินาทีและฉันยังแข็งแรงดี” หรือ “มันแค่เป็นวิธีคิดที่ช่วยไม่ให้เราทิ้งอาหารเปล่าๆ เท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าอาหารจะตกลงไปในเวลาเพียงแค่ห้านาที ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนเชื้อโรค
ซึ่งทุกคนควรพิจารณาถึงความสะอาดและความปลอดภัยก่อนที่จะรับประทานอาหารที่ตกลงบนพื้น
บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ไอเชอร์ไม่ได้นำการทดสอบตัวอย่างที่ไม่ได้ตกบนพื้น (หรือที่สัมผัสกับอากาศเพียงอย่างเดียว) มาเป็นตัวอย่างควบคุม (Control Sample) ซึ่งอาจส่งผลให้ผลการทดลองมีความผิดปกติได้
การทดลองนี้ทำให้เราเข้าใจว่าไม่ควรทานอาหารที่ตกลงไปบนพื้นแม้ว่าจะเป็นเวลาแค่ห้านาที เพราะเชื้อโรคสามารถแพร่กระจายไปยังอาหารได้ทันที นอกจากนี้ยังย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญในการรักษาความสะอาดและการป้องกันการปนเปื้อนที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ
แหล่งข้อมูล : nypost