หมอแนะ สัญญาณเตือน “โรคพาร์กินสัน” ไม่ต้องแก่ ก็เป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย

15 เม.ย. 2568 | 07:00 น.

แพทย์ชี้ นอนละเมอ ท้องผูกเรื้อรัง มือสั่น ซึมเศร้า สัญญาณเตือนป่วย “โรคพาร์กินสัน” ย้ำไม่ใช่โรคสำหรับผู้สูงอายุ สามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย

“โรคพาร์กินสัน” หนึ่งในกลุ่ม “โรคสมองเสื่อม” ที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจาก “อัลไซเมอร์” และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ โรคนี้ไม่ได้เป็นแค่โรคของผู้สูงอายุอีกต่อไป เพราะหลายคนเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังน้อยโดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่ากำลังป่วยอยู่

นพ.สิทธิ เพชรรัชตะชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและโรคพาร์กินสัน โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยว่า โรคพาร์กินสันเกิดจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทในก้านสมอง ทำให้การผลิตสารโดปามีนลดลง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวเริ่มช้าลง และอาจมีอาการอย่างมือสั่นปรากฏออกมา หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการจะยิ่งรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้

นพ.สิทธิ เพชรรัชตะชาติ

แม้ว่าโรคพาร์กินสันจะถูกค้นพบมานานกว่า 200 ปีแล้ว แต่ในประเทศไทยผู้คนส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มรู้จักโรคนี้จริงจังในช่วง 10-20 ปีมานี้ หลายคนยังเข้าใจผิดว่าเป็นแค่ “โรคมือสั่น” ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมอง ทั้งที่ในความจริงแล้ว โรคพาร์กินสันคือหนึ่งในกลุ่ม “โรคสมองเสื่อม” ที่พบบ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากอัลไซเมอร์

“สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ โรคนี้ไม่ได้เป็นเพียงโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่คนทุกวัยสามารถเป็นได้ โดยหลายคนเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังน้อยโดยที่ไม่รู้ตัว”

จากสถิติพบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคพาร์กินสันประมาณ 150-250 คน ต่อประชากร 100,000 คนในทุกช่วงวัย และจำนวนผู้ป่วยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ก็เพิ่มขึ้นทุกปี อันเป็นผลจากการพัฒนาด้านการวินิจฉัยและการให้ความรู้แก่ประชาชน

สัญญาณเตือนของ “โรคพาร์กินสัน”

ที่หลายคนมักมองข้าม เช่น การนอนละเมอ ท้องผูกเรื้อรัง ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน ทุกอาการเหล่านี้อาจเป็น “เสียงเตือน” จากสมองว่าระบบกำลังมีปัญหา และที่น่าตกใจคือ อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นก่อนที่อาการสั่นจะเริ่มขึ้นถึง 10-20 ปี หมายความว่าเมื่อร่างกายเริ่มมีอาการทางการเคลื่อนไหว เช่น เคลื่อนไหวช้าลง มือสั่น หรือเดินสะดุด นั่นคือช่วงที่เซลล์สมองตายไปแล้วกว่า 60%

หมอแนะ สัญญาณเตือน “โรคพาร์กินสัน” ไม่ต้องแก่ ก็เป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย

งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า “การนอนละเมอ” โดยเฉพาะการละเมอที่มีท่าทางเคลื่อนไหวหรือออกเสียง มักจะเชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะเริ่มต้น โดยมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคพาร์กินสันได้สูงกว่าคนทั่วไปถึง 30 เท่า หากเกิดร่วมกับอาการท้องผูกที่หาสาเหตุไม่ได้และการรับกลิ่นที่แย่ลงจนแทบไม่รู้ตัว ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงทันที

สาเหตุสำคัญของการเกิด “โรคพาร์กินสัน”

คือ การเกิดภาวะย่อยโปรตีน Alpha-Synuclein โดยส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรม เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยโปรตีนชนิดนี้ได้ โปรตีนเหล่านี้ก็สะสมในร่างกาย จนกลายเป็น “โปรตีนขยะ” 

จุดเริ่มต้นของโปรตีนขยะเหล่านี้อาจเริ่มจาก “ลำไส้” ก่อน แล้วค่อยๆ เดินทางผ่านเส้นประสาทเข้าสู่ก้านสมองและสมองส่วนอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเริ่มมีอาการทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก แน่นท้อง หรือเรอ ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแค่อาการของระบบย่อยอาหาร แต่จริงๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อมระยะเริ่มต้นได้

อาการของ “โรคพาร์กินสัน”

แบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยเริ่มจากอาการเล็กน้อย เช่น การเคลื่อนไหวช้า หรือเดินลำบาก และในระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะต้องพึ่งพาผู้อื่นในทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การเดิน หรือแม้แต่กิจกรรมง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน หลายคนมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ตั้งแต่แรก เพราะอาการเริ่มต้นมักไม่ชัดเจน และเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของวัยหรือความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก

หมอแนะ สัญญาณเตือน “โรคพาร์กินสัน” ไม่ต้องแก่ ก็เป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย

โดยผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี, เพศชายที่มีโอกาสเป็นมากกว่าหญิงถึง 1.5 เท่า, ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน, เกษตรกรที่สัมผัสสารเคมีบ่อย ๆ รวมถึงนักกีฬาที่เคยบาดเจ็บที่สมอง เช่น นักมวย และนักฟุตบอล

นพ.สิทธิ กล่าวว่า แม้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา “โรคพาร์กินสัน” ให้หายขาด แต่การรักษาอย่างรวดเร็วสามารถช่วยบรรเทาอาการและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การใช้ยาเพิ่มระดับสารโดปามีนในสมอง และในปัจจุบันมีนวัตกรรมการรักษาที่ก้าวหน้าขึ้น เช่น เทคโนโลยี Deep Brain Stimulation (DBS) หรือการผ่าตัดฝังอิเล็กโทรดในสมอง ช่วยลดอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า และลดการพึ่งพายาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอัลตราซาวด์ความเข้มสูง (Focused Ultrasound) ซึ่งเป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้คลื่นเสียงยิงเข้าไปในสมองเฉพาะจุดเพื่อหยุดวงจรที่ผิดปกติ และแนวโน้มว่าเทคโนโลยีนี้จะขยายผลได้ดีในกลุ่มผู้ป่วยระยะแรก

การรับประทานอาหารแบบ Mediterranean Diet ที่เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา ไขมันดีจากน้ำมันมะกอก ช่วยลดความเสี่ยงของโรคพาร์กินสันได้อย่างมีนัยสำคัญ และการเปลี่ยนแปลงแบคทีเรียในลำไส้ยังมีบทบาทช่วยชะลอการดำเนินของโรคในอนาคต

“โรคพาร์กินสันไม่ใช่แค่โรคของผู้สูงวัยอีกต่อไป เพราะสามารถเกิดได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยกลางคนหรือแม้แต่วัยรุ่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตราย เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและลดความเสี่ยง”