นพ.ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ นายกสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย และประธานวิชาการสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า "โรคเบาหวาน" กำลังกลายเป็นภัยเงียบของระบบสุขภาพไทยที่ไม่ควรมองข้ามปัจจุบันมีคนไทยวัยผู้ใหญ่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมากถึง 6.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 11.6% ของประชากรผู้ใหญ่ และยังพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 3 แสนคนต่อปี
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้น คือผู้ป่วยเบาหวานกว่า 90% เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และกว่า 2.6 ล้านคน หรือราว 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังเผชิญกับโรคนี้ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของระบบสุขภาพ เนื่องจากผู้ป่วยมักถูกวินิจฉัยเมื่อเข้าสู่ภาวะแทรกซ้อนแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น เบาหวานยังเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตหลักของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากเบาหวานประมาณ 3 หมื่นราย หรือคิดเป็น 15% ของผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs ทั้งหมดกว่า 2 แสนราย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข คิดเป็นมูลค่ากว่า 4.7 หมื่นล้านบาทต่อปี
“คนส่วนใหญ่มองว่าเบาหวานต้องกินยาไปตลอดชีวิต แต่ปัจจุบันเรามีแนวทางที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าสู่ ‘ภาวะเบาหวานสงบ’ ได้”
ภาวะ “เบาหวานสงบ” หรือ Diabetes Remission หมายถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำกว่าค่าที่ใช้วินิจฉัยโรคเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือน โดยไม่ต้องใช้ยารักษาโรค ซึ่งเป็นเป้าหมายใหม่ของแนวนโยบายด้านสุขภาพในระดับประเทศ
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศแนวทาง “Diabetes Remission Guidelines” ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาแบบเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อเปลี่ยนโรคที่เคยต้องพึ่งพายาตลอดชีวิต ให้กลายเป็นโรคที่ควบคุมได้อย่างยั่งยืน
ในแผนโภชนาการเพื่อควบคุมโรคเบาหวาน อาหารทดแทนสูตรครบถ้วนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือ Diabetes-Specific Formula (DSF) กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะจากผลการศึกษาวิจัยทางคลินิกในปี 2567 ซึ่งจัดทำขึ้นในประเทศไทยและมาเลเซีย โดยศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วน จำนวน 235 ราย
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ได้รับอาหารสูตรพิเศษดังกล่าวแทนมื้ออาหารบางส่วน หรือทั้งหมด ร่วมกับการรักษาตามมาตรฐาน มีผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ภายในเวลาเพียง 90 วัน ได้แก่
นพ.ชัยชาญ กล่าวต่อว่าว่า “นี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า หากผู้ป่วยได้รับการดูแลในมิติต่างๆ พร้อมกับโภชนาการที่เหมาะสม ก็สามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้น และมีโอกาสเข้าสู่ภาวะเบาหวานสงบตามเป้าหมายของประเทศ”
ดร.โฮเซ โรดอลโฟ จูเนียร์ ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการการแพทย์ ประจำภูมิภาคแปซิฟิกเอเชีย บริษัทแอ๊บบอต (Abbott) กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้คนเอเชียเผชิญกับความเสี่ยงสูงในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด คือพฤติกรรมการกินที่มีคาร์โบไฮเดรตคุณภาพต่ำในปริมาณมาก
โดยเฉพาะอาหารจานหลักแบบเอเชียที่เน้นข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว และของหวาน รวมถึงวิถีชีวิตเร่งรีบในเมือง ทำให้ประชากรมีการออกกำลังกายน้อยลง ส่งผลให้ 3 ใน 4 ของผู้ป่วยเบาหวานในเอเชียมีแนวโน้มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี
“การวางแผนโภชนาการอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรก และการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ถือเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
หนึ่งในแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี คือการใช้อาหารทดแทนสูตรเฉพาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือ Diabetes-Specific Formula (DSF) ซึ่งแอ๊บบอตมีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาอาหารสูตรดังกล่าวมานานกว่า 30 ปี
ด้วยประสบการณ์ด้านโภชนาการทางการแพทย์ระดับโลก แอ๊บบอตได้ทำการศึกษาคลินิกกว่า 64 โครงการ ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างกว่า 6,000 คน ใน 19 ประเทศ โดยพบว่า DSF ที่มีสารอาหารครบถ้วน สมดุล และมีใยอาหารสูง สามารถช่วยลดการพุ่งสูงของระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“DSF ไม่ใช่เพียงแค่อาหารเสริม แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดการเบาหวานแบบองค์รวม ที่ควบคู่ไปกับการกินอาหารหลักที่หลากหลายครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอ”
บทบาทของคาร์โบไฮเดรตและค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index – GI) ในการจัดการโรคเบาหวาน อาหารที่มีค่า GI ต่ำ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้ากว่าอาหารที่มีค่า GI สูง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ตัวอย่างของอาหารที่มีค่า GI ต่ำ ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ควินัว ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้บางชนิด ซึ่งควรเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารในแต่ละวัน สำหรับอาหารที่มีค่า GI สูง เช่น ข้าวขาว ขนมหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ควรหลีกเลี่ยงหรือบริโภคอย่างจำกัด
“การรู้จักเลือกคาร์โบไฮเดรตที่ดี และจัดสมดุลให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น”
การดูแลผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรจำกัดแค่การรับประทานยาเท่านั้น แต่ต้องมีการวางแผนชีวิตในระยะยาว ทั้งในเรื่องการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน อายุเกิน 35 ปี หรือมีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม