พม.ปรับหลักเกณฑ์ประเมินความพิการ เพื่อช่วยเข้าถึงสิทธิมากขึ้น

15 ธ.ค. 2568 | 11:54 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ธ.ค. 2568 | 11:58 น.

พม.เดินหน้าช่วยผู้พิการเข้าถึงสิทธิ พร้อมปรับหลักเกณฑ์การประเมินความพิการรูปแบบใหม่ มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2568

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ 2,261,154 คน คิดเป็นร้อยละ 3.34 ของประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) ซึ่งพม.โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเรื่องการส่งเสริมให้คนพิการและครอบครัวคนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้อย่างทั่วถึง  ซึ่งที่ผ่านมา มีการใช้หลักเกณฑ์ทางกายภาพส่งผลให้คนพิการส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงหลักเกณฑ์ดังกล่าว และไม่สามารถทำบัตรประจำตัวคนพิการได้ ทำให้ไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการจากภาครัฐ 

ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการและครอบครัวคนพิการได้เข้าถึงสิทธิสวัสดิการมากที่สุด ตนจึงได้เร่งให้มีการปรับหลักเกณฑ์การประเมินความพิการ เป็นหลักเกณฑ์ทางกายภาพร่วมกับทางสังคม 

นายอัครา กล่าวว่า ล่าสุดได้มีประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง ประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ พ.ศ. 2568 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงเกี่ยวกับประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อาทิ คนที่ตาบอดข้างเดียว นิ้วมือขาด นิ้วเท้าขาด หรือมีลักษณะอวัยวะร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งที่ไม่ครบ 32 ประการ เพื่อทำให้คนพิการดังกล่าวสามารถทำบัตรประจำตัวคนพิการได้ และรับสิทธิสวัสดิการจากภาครัฐเพิ่มมากขึ้น  เป็นการสร้างความเท่าเทียมและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนพิการทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม การรับสิทธิสวัสดิการคนพิการนั้น ขึ้นอยู่กับความสมัครใจในการเข้ามาทำบัตรประจำตัวคนพิการหรือการใช้สิทธิสวัสดิการคนพิการ ทั้งนี้ ภายหลังจากประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ แล้ว กระทรวง พม. โดยกรม พก. จะมีการจัดทำคู่มือการวินิจฉัยและตรวจประเมินความพิการ รวมถึงแบบประเมินความพิการทางสังคม ให้สอดคล้องกับประกาศฯ นี้ ต่อไป