KEY
POINTS
นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้ส่งหนังสือถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยเนื้อหาในเอกสารระบุว่า
หนังสือจากเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕)
ถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสโลวีเนียประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประจำเดือนธันวาคม ค.ศ. ๒๐๒๕
เรียน เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสโลวีเนียประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
กระผมขอเรียนให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบโดยเร่งด่วนถึง การละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทยอย่างร้ายแรงล่าสุด อันเนื่องมาจาก การรุกรานและการโจมตีทางอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุของกัมพูชาต่อไทย ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๔.๑๕ น. ทหารกัมพูชาได้เปิดยิงใส่ทหารไทยจากหน่วย กองพันทหารราบที่ ๑๓ ซึ่งปฏิบัติภารกิจปรับปรุงเส้นทางภายในดินแดนของไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก – พลาญหิน แปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ การโจมตีดังกล่าวทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ๒ นาย โดยในจำนวนนี้ ทหารหนึ่งนายได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอกและทหารอีกหนึ่งนายถูกยิงบริเวณขาขวา ทั้งนี้ ทหารกัมพูชายังคงยิงใส่ทหารไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลา ๑๔.๕๐ น.
๒. เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๘ เวลา ๐๕.๐๕ น. ทหารกัมพูชาได้เริ่มโจมตีฐานทหารไทย โดยปราศจากการยั่วยุใดๆ ในพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ตามด้วยการโจมตีในวงกว้างอย่างไม่เลือก เป้าหมายตลอดหลายพื้นที่ภายในดินแดนของไทยในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัด อุบลราชธานี
ต่อมา ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทหารกัมพูชายังได้ยกระดับการโจมตีอีกครั้งด้วยการยิงอาวุธหนัก ใส่ทหารไทยที่ประจำการในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ณ เวลา ๑๘.๐๐ น. การโจมตีรุกรานดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ ๕ จังหวัดของไทย ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต ๑ นาย และบาดเจ็บ ๑๘ นาย
โดยในจำนวนนี้ ทหาร ๓ นายอาการสาหัส และมีประชาชนจำนวนกว่า ๔๐๐,๐๐๐ คน ต้องอพยพ จากที่พักอาศัย โดยในจำนวนนี้ มีประชาชน ๒ ราย ที่เสียชีวิตจากอาการหัวใจวายในระหว่างการอพยพ
ตลอดทั้งวัน กำลังทหารกัมพูชาได้ดำเนินการโจมตีดินแดนของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สัดส่วนและ ผิดกฎหมาย โดยเจตนามุ่งเป้าหมายโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ปฏิบัติการดังกล่าวใช้อาวุธ หนักหลายชนิด รวมถึงเครื่องยิงระบบจรวดหลายลำกล้อง ปืนครก และปืนกลหนัก และยังเสริมด้วย การเคลื่อนย้ายอาวุธหนักและกำลังพลของกัมพูชาตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง
๓. การโจมตีทางอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุและไม่เลือกเป้าหมายดังกล่าวของกัมพูชาต่อดินแดนของ ไทยในพื้นที่ ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัด สระแก้ว เป็นการละเมิดข้อ ๒ วรรค ๔ ของกฎบัตรสหประชาชาติ หลักการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับประเทศ
เพื่อนบ้านและหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างรัฐอย่างชัดเจน เพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าว ไทยจึงมี ความจำเป็นต้องใช้สิทธิโดยชอบธรรมในการป้องกันตนเองตามข้อ ๕๑ ของกฎบัตรสหประชาชาติเพื่อรักษา อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และปกป้องความปลอดภัยของประชาชนไทย
มาตรการป้องกันตนเอง ดังกล่าวดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน มาตรการเหล่านี้จำกัดขอบเขต ได้สัดส่วนตามภัยคุกคาม และมุ่งเป้าเหมายเพื่อยับยั้งภัยอันตรายที่ชัดแจ้งจาก ทหารกัมพูชา โดยใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบและอันตรายต่อพลเรือนและ โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน
๔. เป็นที่น่าเสียใจว่า ในทันทีภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ข้างต้น ทางการของกัมพูชาได้ตั้งใจเผยแพร่ ข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่า ไทยเป็นฝ่ายเริ่มการโจมตีก่อน ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว ฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มยิงใส่ ทหารไทยและดินแดนของไทยก่อน
การกระทำนี้แสดงถึงการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาอีกครั้ง ไทยขอปฏิเสธอย่าง สิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบิดเบือนข้อเท็จจริง และบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ
๕. การโจมตีทางอาวุธล่าสุดของกัมพูชาสะท้อนรูปแบบความเป็นปฏิปักษ์ต่อไทยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าและทวีความรุนแรงขึ้น รูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นตามมาหลังจากการกระทำที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในลักษณะ ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าและเป็นการยั่วยุของกัมพูชา ซึ่งรวมถึงการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ใหม่ของกัมพูชาอย่าง ผิดกฎหมายในดินแดนของไทยหลายครั้ง ทำให้ทหารไทยพิการถาวรรวม ๗ นาย
โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้น เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ และต่อมา เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ทหารกัมพูชาจงใจเปิดยิงใส่ ทหารไทยในดินแดนอธิปไตยของไทย การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อพันธกรณีที่มีร่วมกัน ภายใต้ “ถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักร กัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย” ลงนามโดยผู้นำของไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๘ ผ่านการเป็นคนกลางในการประสานงานของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
๖. ประเทศไทยประณามอย่างรุนแรงต่อการรุกรานของกัมพูชา การโจมตีทางอาวุธโดยไม่เลือก เป้าหมายต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน และสถานที่สาธารณะต่าง ๆ และเจตนาที่ปรากฏชัด ในการทำร้ายกำลังพลของไทยภายในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ อย่างไร้ความรับผิดชอบและต่อเนื่องของกัมพูชาต่อไทยมีแต่จะเพิ่มความตึงเครียด ทำลายความมุ่งมั่นที่มีร่วมกัน ภายใต้ถ้อยแถลงร่วมฯ และข้อตกลงที่บรรลุในกรอบการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และ คณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) อีกทั้งยังกัดกร่อนความไว้วางใจระหว่างกันซึ่งมีความจำเป็นต่อการมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์
๗. ในการนี้ ไทยเรียกร้องให้กัมพูชาชี้แจงอย่างครบถ้วน รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ และดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก ไทยร้องขอประชาคมระหว่างประเทศให้ เรียกร้องต่อกัมพูชาให้ยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุทั้งหมดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนชาวไทย ทำลายความมั่นคงชายแดน
และเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า กัมพูชาต้องปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเต็มที่ และแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ในการนี้ กระผมขอความอนุเคราะห์ให้เวียนหนังสือฉบับนี้แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯ ทุกประเทศ ในฐานะเอกสารของคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้างต้นโดยเร่งด่วน
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
เชิดชาย ใช้ไววิทย์
เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ
ณ นครนิวยอร์ก
แหล่งที่มา : เพจ Army Military Force