วันนี้ (วันที่ 10 ธันวาคม 2568) นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 12 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2568 จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องเข้มงวดมาตรการควบคุมการใช้งานโดรน โดยได้สั่งการให้ท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เฝ้าระวังโดรนในพื้นที่ที่ห้ามบินโดรนเด็ดขาด ได้แก่ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ และ ท่าอากาศยานอุบลราชธานี
รวมถึงพื้นที่รัศมี 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) รอบสนามบินที่กำหนด ได้แก่ ท่าอากาศยานพิษณุโลก ท่าอากาศยานอุดรธานี และท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี
โดยให้เข้มงวดด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจสอบและเฝ้าระวังการใช้งานโดรนในบริเวณโดยรอบท่าอากาศยาน ให้ประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ศูนย์ต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (ศบตอ.น.) ในพื้นที่เพื่อจัดตั้งจุดเฝ้าระวังพิเศษ
ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงปลอดภัยสูงสุดในการปฏิบัติการบินและความปลอดภัยของผู้โดยสาร รวมถึงพร้อมตอบสนองต่อสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา ได้อย่างทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์
ด้านนายดนัย เรืองสอน อธิบดีกรมท่าอากาศยาน หรือ ท.ย. กล่าวว่า กรมท่าอากาศยาน พร้อมดำเนินการตาม ข้อสั่งการและมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด โดยขณะนี้ท่าอากาศยานในสังกัดที่อยู่ในพื้นที่ตามประกาศดังกล่าว มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ยังจัดเจ้าหน้าที่และเพิ่มความถี่การลาดตระเวนภายในท่าอากาศยาน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทางของประชาชน รวมถึงติดตั้งป้ายประกาศและประชาสัมพันธ์ข้อห้ามการบิน
โดรนในเขตพื้นที่ห้ามบินโดยเด็ดขาดรอบสนามบิน เพื่อสร้างความเข้าใจและความตระหนักแก่ประชาชน ถึงกรณีหากมีการฝ่าฝืนข้อห้ามในพื้นที่หวงห้ามจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือหากพบเห็นการใช้งานโดรนที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย หรืออาจเป็นภัยต่อความมั่นคง ให้รีบแจ้งข้อมูลแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินการต่อไป