KEY
POINTS
พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาว่า การตอบโต้ของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักการป้องกันตัวและอยู่ภายใต้กรอบกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด โดยทุกการยิงตอบโต้จะมุ่งเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารที่มีเจตนาคุกคามหรือก่อเหตุต่อฝ่ายไทยในพื้นที่เท่านั้น
ข้อมูลด้านการข่าวชี้ว่า กำลังทหารกัมพูชามีการเสริมกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอาวุธยิงสนับสนุนเพิ่มเติม รวมถึงมีแนวโน้มว่าฝ่ายกัมพูชาระบุพิกัดใช้อาวุธระยะไกลลึกเข้ามาในเขตไทยครอบคลุมพื้นที่ใกล้สนามบินบุรีรัมย์ และพื้นที่รอบโรงพยาบาลในอำเภอปราสาท ซึ่งห่างจากเส้นชายแดนราว 30 กิโลเมตร สะท้อนสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีความเสี่ยงสูงต่อประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ท่าทีของกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นความพยายามละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง โดยเฉพาะการแอบใช้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ซึ่งฝ่ายไทยต้องเข้าเคลียร์หรือเก็บกู้ ทำให้การปฏิบัติงานของกำลังพลไทยถูกขัดขวาง และสร้างความเสี่ยงต่อชีวิตอย่างต่อเนื่อง จนมีข้อสงสัยว่าฝ่ายกัมพูชาอาจตั้งใจให้กำลังพลไทยได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดเหล่านั้น
จากสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ส่วนหลัง กองทัพภาคที่ 2 ได้ประสานฝ่ายปกครองและท้องถิ่นเร่งอพยพประชาชนตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวาน ซึ่งปัจจุบันการอพยพดำเนินการสมบูรณ์ตามเป้าหมาย ทำให้ผลกระทบต่อประชาชนอยู่ในวงจำกัด
เช้ามืดวันนี้สถานการณ์รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. ฝ่ายกัมพูชายิงปะทะหลายจุดโดยใช้อาวุธหลากชนิด ทั้งปืนเล็ก ปืนใหญ่ และอาวุธยิงสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังพลไทยมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในพื้นที่ช่องบก โดยยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตทางการ 1 ราย และมีข้อมูลไม่เป็นทางการอีก 1 รายซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบ
กัมพูชายังขยายพื้นที่การปะทะไปยังหลายจุด ได้แก่ ช่องอาม้า ห้วยตามาเรีย ปราสาทคนา ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือง ฝ่ายไทยจึงต้องตอบโต้ตามแผนเผชิญเหตุ โดยเน้นโจมตีเฉพาะฐานทหารและที่ตั้งยิงอาวุธสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา พร้อมประสานกองทัพอากาศใช้กำลังทางอากาศปล่อยอาวุธเพื่อสกัดการโจมตี ซึ่งเป็นมาตรการจำเป็นในการป้องกันตนเองจากการยิงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา
พลตรีวินธัยระบุว่า การใช้อากาศยานของฝ่ายไทยเป็นการโจมตีเป้าหมายทางทหารที่ชัดเจน ด้วยความแม่นยำสูงและจำกัดขอบเขตความเสียหาย เพื่อยับยั้งการใช้อาวุธหนักของกัมพูชาที่เคยสร้างความเสียหายต่อพื้นที่พลเรือนไทยในเหตุการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากข้อมูลข่าวกรอง อาคารที่ถูกโจมตีบางแห่งเป็นที่ตั้งบังคับการและศูนย์ควบคุมอากาศยานไร้คนขับของกัมพูชา
ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งให้ทุกหน่วยเพิ่มความพร้อมทางยุทธวิธีเพื่อรับมือภัยคุกคามทุกรูปแบบ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการลดความสูญเสียของกำลังพลไทยและประชาชน เป้าหมายหลักในการปฏิบัติการคือทำลายระบบอาวุธยิงสนับสนุนของกัมพูชา ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเสี่ยงต่อชีวิตของทหารและประชาชนไทยอย่างตรงไปตรงมา
มาตรการด้านความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ เช่น สนามบินและโรงพยาบาล ถูกยกระดับตามระบบปกติทางทหาร ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันว่า การใช้กำลังทุกรูปแบบยังอยู่ในกรอบสากลและจำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อพลเรือนและไม่ให้เหตุการณ์นำไปสู่แรงกดดันจากนานาชาติ
เบื้องต้นความเสียหายจากการยิงช่วงเช้าอยู่ในพื้นที่การเกษตร ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บในกลุ่มประชาชน โดยกองทัพจะทยอยให้ข้อมูลผู้บาดเจ็บ–ผู้เสียชีวิต และการดูแลในศูนย์อพยพเป็นระยะ
พลตรีวินธัยย้ำว่า สถานการณ์ยังคงเป็นการเผชิญเหตุที่ต้องตอบโต้ตามความจำเป็น แม้จะควบคุมขอบเขตการใช้กำลังอย่างเข้มงวด แต่พร้อมดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคาม และมาตรการเชิงรับเพื่อคุ้มครองประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดภายใต้สภาวะตึงเครียดชายแดนในขณะนี้.