KEY
POINTS
นายมงคล จุลทัศน์ ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากสถานการณ์เหตุปะทะแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา จนมีรายงานทหารไทยเสียชีวิต 1 ราย เบื้องต้นคนในพื้นที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เริ่มได้ยินเสียงปืนใหญ่ในช่วงเวลาประมาณ 1.00 น. คาดว่าการปะทะเริ่มตั้งแต่บริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.สุรินทร์ จนถึง จ.บุรีรัมย์
โดยเมื่อคืนของวันที่ 7 ธ.ค. 2568 เริ่มมีความผิดปกติ ประชนได้รับแจ้งให้ย้ายจากชายแดนเข้ามายังพื้นที่ชั้นในของจังหวัด ขณะเดียวกันฝ่ายความมั่นคงก็เตรียมอาวุธ-ปืนใหญ่เข้าประชิดชายแดนทั้งหมด กระทั่งในช่วงเช้าวันนี้ 8 ธ.ค.2568 เริ่มได้ยินเสียงปืนปะทะอย่างชัดเจน
“จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งฝั่งไทยเราและกัมพูชาได้เตรียมพร้อมมาพอสมควรทั้งสองฝ่าย ประเมินว่าการปะทะครั้งนี้น่าจะมีความสูญเสียมากกว่ารอบที่ผ่านมา แม้ขณะนี้ประชาชนยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็กังวลเนื่องจากฝ่ายตรงข้ามขยับอาวุธเข้าใกล้ชายแดนมากขึ้น และอาวุธของฝ่ายไทยก็อยู่ใกล้กับอำเภอมากกว่าครั้งก่อน”
นายมงคล กล่าวว่า ฝั่งกัมพูชาน่าจะวางแผนและวางเป้าหมายจู่โจมในรอบนี้ไว้เป็นอย่างดี ในฝั่งไทยทั้งรัฐบาลและผู้นำเหล่าทัพต่างก็ "ไฟเขียว" และน่าจะดำเนินการเต็มที่ในช่วง 2-3 วันนี้ ส่วนภาคประชาชนอยากให้ไทย "ยกระดับ" เพื่อให้เรื่องนี้จบลง ซึ่งประชาชนได้อพยพประชาชนตามแนวเขตชายแดนแล้วกว่า 75% และแน่นอนว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและกระทบต่อกำลังซื้อในพื้นที่ด้วย
ขณะเดียวกัน นายวีรศักดิ์ พิษณุวงษ์ ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ในพื้นที่ชายแดน จ.สุรินทร์ เริ่มได้ยินเสียงปะทะช่วงเช้าของวันนี้ 8 ธ.ค. 2568 ตั้งแต่เวลา 7.00 น. โดยภาพรวมคือประชาชนเกิดความแตกตื่น เพราะการปะทะครั้งนี้ขยับพื้นที่เข้ามาลึกกว่าการปะทะครั้งก่อน ตามแนวอำเภอประมาณ 30 กิโลเมตร จุดปะทะหนักยังอยู่ที่บริเวณช่องอานม้าเกิดมา คาดว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการรบครั้งนี้
ทั้งนี้ จังหวัดสุรินทร์ได้เตรียมความพร้อมและอพยพประชาชน 4-5 อำเภอตามแนวชายแดน ตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวาน วันที่ 7 ธ.ค.2568 เข้ามาในพื้นที่ชั้นในของตัวจังหวัดสุนรินทร์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังอพยพอย่างต่อเนื่อง จำนวนประชาชนเยอะกว่าการปะทะรอบแรก ประเมินโดยภาพรวมขณะนี้อพยพคนได้ประมาณ 60-70% แล้ว
คาดการณ์ว่าอาจใช้เวลาประมาณ 5 วันในการเฝ้าระวังการปะทะหนัก กระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงไฮซีซันปลายปีอย่างแน่นอน เพราะธุรกิจโรงแรมถูกยกเลิกห้องพักไปเป็นจำนวนมาก แต่โชคดรพื้นที่เขตเศรษฐกิจในตัวเมืองสุรินทร์ยังไม่ได้รับผลกระทบ และยืนยันว่าพื้นที่ชั้นในยังมีความปลอดภัยสูงพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวได้