KEY
POINTS
การผลักดันเศรษฐกิจไทย ของภาคเอกชน ส่งสัญญาณต่อภาครัฐต้องผลักดันให้การขยายตัวทางเศราฐกิจ ( GDP )เติบโตเกิน5% ต่อปี อย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับรายได้เฉลี่ยของประชากรและนำพาประเทศก้าวข้ามกับดักความยากจนที่ประสบปัญหาอัตราการเติบโตต่ำที่2% เท่านั้น
ทั้งนี้การใช้กลไกทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมไม่ได้ผล และเสนอให้รัฐบาลมุ่งเน้นการลงทุนใน โครงการเมกะโปรเจ็กต์ ขนาดใหญ่ผ่านรูปแบบ ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน (PPP) เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะ ข้อเสนอสำคัญประกอบด้วยการยกระดับ กรุงเทพมหานคร ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้า
ผ่านการปฏิรูประบบราชการและมาตรการภาษีที่จูงใจ รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น Southern Seaboard/Land Bridge และระบบรถไฟความเร็วสูง นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ ดึงดูดชาวต่างชาติที่มีคุณภาพสูง ทั้งนักเรียน ผู้เกษียณอายุ และนักลงทุนให้เข้ามาพำนักในระยะยาว เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายและเม็ดเงินลงทุนในประเทศ ควบคู่ไปกับนโยบาย ส่งเสริมที่อยู่อาศัยราคาประหยัด สำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยกำลัง ‘จมปลัก’ โตแค่ 2% ห่างไกลเป้าหมายที่ต้องการเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี และต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 15 ปี เพื่อยกระดับรายได้คนไทยให้พ้นความยากจน พร้อมเปิด 11 ข้อเสนอเร่งด่วน ผ่านโมเดล PPP ใช้อำนาจรัฐและที่ดินดึงเอกชนลงทุน ‘คิดใหญ่’ สร้างมิติใหม่ให้ประเทศ
สถานการณ์และเป้าหมายเร่งด่วนของเศรษฐกิจไทย
ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องผลักดันให้ GDP เติบโตมากกว่า 5% ต่อปี และต้องรักษาอัตรานี้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 15 ปี เพื่อให้รายได้เฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน เป็นประมาณ 37,000 บาทต่อเดือน (ซึ่งยังเป็นเพียงหนึ่งในสามของรายได้ไต้หวันและเกาหลีใต้ในปัจจุบันเท่านั้น)
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเติบโตอยู่ที่เพียงประมาณ 2% ต่อปี ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์ (6.92%), เวียดนาม (6.20%), จีน (5.79%), ฟิลิปปินส์ (5.20%) และมาเลเซีย (4.90%) มี GDP Growth เฉลี่ยสูงกว่า 5% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
การเติบโต 5% ต่อปีของไทย ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมประมาณ 18,579 ล้านล้านบาท หมายถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 928,950 ล้านบาทต่อปี แต่การเติบโต 2% ทำได้เพียง 371,580 ล้านบาท ทำให้ไทยต้องทำเพิ่มอีกถึง 557,370 ล้านบาทต่อปี
ถอดบทเรียนต่างชาติ – ทำไมภูเก็ตโตโดดเด่น
ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเติบโตสูงกว่า 5% ล้วนใช้การลงทุนขนาดใหญ่เป็นกลไกสำคัญ
• จีน: ใช้การลงทุนมหาศาลในการพัฒนาสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ รวมถึงการสร้างเมืองใหม่ (เช่น เซินเจิ้น และผู่ตง)
• สิงคโปร์: ลงทุนในสถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อม (อาทิ Gardens by the Bay และ Entertainment Complex) ควบคู่กับการเป็น ศูนย์กลางการเงิน การค้า และการลงทุน พร้อมความง่ายในการทำธุรกิจ (Easy of Doing Business)
• UAE: พลิกทะเลทรายด้วยนวัตกรรมและสถาปัตยกรรมล้ำสมัย (เช่น Palm Jumeirah และ Burj Khalifa) พร้อมมาตรการภาษีและอำนวยความสะดวกในการซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติ
ขณะเดียวกัน ในไทยเอง "ภูเก็ต" คือจังหวัดที่มีสถิติ GDP Growth สูงถึง 8.3% ในรอบ 10 ปี สาเหตุหลักมาจากภูเก็ตเป็นจังหวัดที่เปิดกว้าง ทำให้มีชาวต่างชาติมาพำนักและทำงานในสัดส่วนสูงถึง 7.7% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึง 5 เท่า การเพิ่มขึ้นของประชากรและนักท่องเที่ยวนี้ส่งผลให้การบริโภคและการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
กลยุทธ์ ‘คิดใหญ่’ ปลดล็อกการลงทุน (Mega Project & PPP)
เนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน (เช่น การส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนภาครัฐ) แต่ทำได้เพียง 2% และติดข้อจำกัดหนี้สาธารณะที่ไม่เกิน 60% ของ GDP จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปขนาดใหญ่
แนวทางที่ถูกเสนอคือการใช้ โมเดลรัฐ-ราษฎร ร่วมทุน (Public Private Partnership หรือ PPP) โดยรัฐใช้เพียงทรัพยากรที่มีอยู่คือ ที่ดิน และใช้อำนาจในการออกใบอนุญาต สัมปทาน และกฎเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าก่อสร้างและพัฒนาทั้งหมด ซึ่งจะไม่เป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ
11 ข้อเสนอ Mega Project และการปฏิรูปเพื่อเพิ่ม GDP
มีการนำเสนอ 11 โครงการ/มาตรการขนาดใหญ่เพื่อเสริมเพิ่ม GDP โดยไม่เพิ่มภาระหนี้ภาครัฐ
1. ยกระดับ “กรุงเทพมหานคร” เป็นศูนย์กลางการเงินโลก ศักยภาพของกรุงเทพฯ ใกล้เคียงกับสิงคโปร์และฮ่องกง แต่มีข้อดีเรื่องความสะดวกสบาย ความเป็นมิตร และค่าใช้จ่ายคุ้มค่ากว่า สิ่งที่ต้องปรับปรุงคือการ ปฏิรูประบบราชการ ที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน โดยเฉพาะการขยายระยะเวลาการเช่าหรือสิทธิจาก 30 ปี เป็น 90 ปี และใช้มาตรการภาษีจูงใจเทียบเท่าสิงคโปร์และ UAE
◦ ผลตอบแทน: หากจูงใจชาวต่างชาติมืออาชีพเข้ามาทำงานได้ปีละ 10,000 คน (ใช้จ่าย 4 ล้านบาทต่อปี) จะสร้างรายได้ 40,000 ล้านบาท
2. สร้างเขื่อนกั้นปากแม่น้ำเจ้าพระยา: เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ และภาคกลางตอนล่างจากภาวะน้ำทะเลหนุน ซึ่งสร้างความเสียหายหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละครั้งมูลค่าลงทุน ประมาณ 10,000 – 20,000 ล้านบาท
3. โครงการ Southern Seaboard และ Land Bridge: ใช้ศักยภาพทางภูมิศาสตร์ของไทยที่ประเทศอื่นไม่มี หากแล้วเสร็จจะทำให้ไทยเป็น ศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลระหว่างตะวันออกกับตะวันตก แทนสิงคโปร์ และทำให้ภาคใต้เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก มูลค่าลงทุนรวม ประมาณ 1 ล้านล้านบาท (ประกอบด้วยท่าเรือน้ำลึกระนอง/ชุมพร 636,477 ล้านบาท, ระบบขนส่งถนนและราง 220,000 ล้านบาท, ระบบขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือ 140,000 ล้านบาท) ผลตอบแทนในช่วงก่อสร้าง: จะเกิดมูลค่าการลงทุนเพิ่มปีละ 100,000 ล้านบาท หากใช้เวลาสร้าง 10 ปี
4. สร้างสะพานข้ามอ่าวไทย (เกาะสีชัง – ประจวบคีรีขันธ์): สะพานยาวเพียง 100 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าจาก EEC ไปยังท่าเรือฝั่งตะวันตกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเสริมศักยภาพของ Land Bridge ให้สูงขึ้น
5. รถไฟความเร็วสูง เร่งรัดโครงการแรก กรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย (รวมมูลค่ากว่า 520,000 ล้านบาท) ที่ล่าช้าเพราะรัฐลงทุนเองและตัดสินใจช้า พร้อมเสนอให้ชักชวนเอกชนมาลงทุนสายใต้ (เชื่อมมาเลเซีย/สิงคโปร์) และสายเหนือ (สู่เชียงใหม่/เชียงราย) โดยต้องปรับเงื่อนไขให้จูงใจ เช่น ระยะเวลาสัมปทานที่นานขึ้น และการพัฒนาเชิงพาณิชย์รอบสถานี
6. สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex): เช่น สวนสนุกขนาดใหญ่ (Disney World, Universal Studios) โดยไม่จำเป็นต้องมีคาสิโนก็ได้มูลค่าลงทุน หากมี 3 แห่ง มูลค่าแห่งละ 10,000 ล้านบาท จะได้เงินลงทุน 30,000 ล้านบาท
7. สนามกีฬาขนาดใหญ่, Concert Hall, Performing Arts Center: สร้างในเมืองใหญ่ทุกภาค เพื่อยกระดับศักยภาพการกีฬา และดึงดูดการแสดงระดับโลก (เช่น Concert Taylor Swift ที่สิงคโปร์)มูลค่าลงทุน สามารถสร้างมูลค่าการลงทุนได้หลายหมื่นล้านบาท
8. ส่งเสริมโรงงาน/ศูนย์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม: เช่น พิพิธภัณฑ์, ศูนย์วัฒนธรรม, โรงงานกำจัดขยะ, โรงงานทำปุ๋ย, อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร การแพทย์มูลค่าลงทุน หากเอกชนสร้าง 100 แห่ง มูลค่าแห่งละ 500 ล้านบาท จะได้เงินลงทุน 50,000 ล้านบาท
9. ส่งเสริมบ้านผู้มีรายได้น้อยและปานกลางค่อนข้างน้อย: ใช้มาตรการลดภาษีธุรกิจเฉพาะเหลือ 0.11% และลดค่าธรรมเนียมโอน/จดจำนอง เหลือ 0.01% (ส่วนลดรวม 6.17%) สำหรับบ้านจัดสรร/คอนโดฯ มูลค่า 1–2 ล้านบาทผลตอบแทน หากมีผู้ใช้สิทธิ์ 100,000 หน่วยต่อปี จะมีมูลค่าเพิ่ม 150,000 ล้านบาท รัฐบาลสนับสนุนเพียง 9,250 ล้านบาท แต่จะได้ภาษีคืนกลับมาไม่ต่ำกว่า 12% หรือเกือบ 18,000 ล้านบาท (จาก VAT และภาษีเงินได้นิติบุคคล)
10. ส่งเสริมชาวต่างชาติให้อยู่พำนักในระยะปานกลาง-ยาว เน้นกลุ่มคุณภาพแทนการท่องเที่ยวระยะสั้นกลุ่มเป้าหมาย นักเรียน/นักศึกษาต่างชาติ, ผู้สูงวัยเกษียณจากประเทศรายได้สูง, นักวิชาชีพที่ขาดแคลน (Digital, Finance, Marketing), และนักลงทุน (หลักทรัพย์ อสังหาฯ ธุรกิจ)รายได้รวม (ประเมินจาก 4 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มละ 10,000 รายต่อปี) รวมกว่า 160,000 ล้านบาทต่อปี
11. นำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจงานวิจัยของ UNCTAD ชี้ว่า การดึงเศรษฐกิจนอกระบบ (ซึ่งมีเกือบ 50% ของทั้งหมดในประเทศกำลังพัฒนา) เข้าสู่ระบบเพียงบางส่วน อาจทำให้ GDP โตขึ้น 1-2% ต่อปี
หากไทยสามารถดำเนินการตามข้อเสนอเหล่านี้ได้ จะช่วยฉุดกระชากประเทศให้ก้าวข้ามความยากจนไปสู่ประเทศพัฒนาที่ไร้คนจนได้โดยเร็ว (ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568)
ทำไมไทยควรมี GDP โตเกินร้อยละห้า?
คำถามของท่านคือ "ทำไมไทยควรมี GDP โตเกินร้อยละห้า?"
ประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผลักดันให้อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงกว่าร้อยละ 5 ต่อปี และรักษาอัตรานี้ให้ต่อเนื่องเป็นเวลา ไม่ต่ำกว่า 15 ปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสำคัญระดับประเทศ ดังต่อไปนี้:
1. ยกระดับรายได้และก้าวข้ามกับดักความยากจน
เหตุผลหลักที่ไทยต้องเติบโตในระดับสูงคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและหลุดพ้นจากภาวะความยากจน
• เพิ่มรายได้เฉลี่ยของคนไทย: การเติบโตเกิน 5% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง 15 ปี จะช่วยให้รายได้เฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ไปสู่ประมาณ 37,000 บาทต่อเดือน
• เป้าหมายการพัฒนา: เพื่อให้ประเทศไทยสามารถ ก้าวข้ามกับดักความยากจน ไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาที่ไร้คนจน ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายการกระจายรายได้ที่ดีด้วย
• เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน: แม้รายได้ 37,000 บาทต่อเดือนจะใกล้เคียงกับมาเลเซียในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงเป็นเพียงประมาณหนึ่งในสามของรายได้เฉลี่ยของคนไต้หวันและเกาหลีใต้ในปัจจุบันเท่านั้น
2. แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ ‘จมปลัก’ และตามประเทศคู่แข่งให้ทัน
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลัง "จมปลัก" (stuck) และกำลังถอยหลังเข้าคลอง (เข้าคลอง) เนื่องจากเศรษฐกิจเคยโตเกิน 5% ต่อปี แต่ปัจจุบันเติบโตเหลือเพียงประมาณ 2% ต่อปี
• ช่องว่างการเติบโต: หาก GDP ของไทย (มูลค่าล่าสุดประมาณ 18,579 ล้านล้านบาทต่อปี) ต้องการเติบโตที่ 5% ต่อปี จะต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม 928,950 ล้านบาทต่อปี แต่การเติบโตที่ 2% ต่อปี ทำได้เพียง 371,580 ล้านบาท ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องทำมูลค่าเพิ่มให้ได้อีก 557,370 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้ถึงเป้าหมาย 5%
• เปรียบเทียบกับประเทศอื่น: ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่งหลายแห่งมี GDP Growth เฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เช่น สิงคโปร์ (6.92%), เวียดนาม (6.20%), จีน (5.79%), ฟิลิปปินส์ (5.20%) และมาเลเซีย (4.90%)
• หลีกเลี่ยงการถูกทิ้งห่าง: หากยังคงเติบโตในอัตราต่ำ ประเทศไทยอาจกลายเป็น "ประเทศเริ่มจนเรื้อรังที่ขุนไม่ขึ้น" และมีความเสี่ยงที่จะถูกประเทศอาเซียนอื่นๆ ทิ้งห่างไปเรื่อยๆ
การบรรลุเป้าหมายการเติบโตนี้ต้องอาศัยการ "คิดใหญ่และเอาจริง" โดยการสร้างโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ เพื่อช่วยฉุดกระชากประเทศให้รุดหน้า โดยไม่เพิ่มภาระหนี้ภาครัฐ
การผลักดัน GDP ให้โตเกิน 5% จึงเปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงคุณภาพสูงให้กับเครื่องยนต์ที่เคยวิ่งช้า เพื่อให้สามารถเร่งความเร็วแซงหน้าเครื่องยนต์อื่นๆ ที่กำลังวิ่งไปข้างหน้า และพาผู้โดยสาร (ประชาชน) ไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งความมั่งคั่งและเสถียรภาพได้ตามกำหนดเวลา
การใช้ PPP แก้ปัญหาหนี้สาธารณะอย่างไร?
การใช้รูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) เป็นกลไกสำคัญที่ถูกเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) ที่จำเป็นต่อการเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP
กลไกที่ PPP เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ สรุปได้ดังนี้
การถ่ายโอนภาระการลงทุนจากรัฐไปสู่เอกชน
รูปแบบ PPP ถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของหนี้ภาครัฐ (Public Debt) ที่ถูกกำหนดไว้ว่า ต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของ GDP ซึ่งข้อจำกัดนี้ทำให้โครงการที่ดีและจำเป็นต่อประเทศจำนวนมากต้องถูกระงับการพิจารณาหรือเลื่อนออกไป
• เอกชนรับภาระการลงทุน: PPP ช่วยแก้ปัญหาหนี้สาธารณะได้โดยตรง เนื่องจากฝ่าย เอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าก่อสร้างและพัฒนา โครงการทั้งหมด การที่เอกชนรับภาระด้านการเงินส่วนใหญ่ ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อมาดำเนินโครงการนั้นๆ
• ไม่เพิ่มภาระหนี้ภาครัฐ: เมื่อเอกชนเป็นฝ่ายลงทุนหลัก จึงทำให้เรื่องของหนี้สาธารณะ ไม่เป็นปัญหาต่อไป และสามารถดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศได้ โดยไม่เพิ่มภาระหนี้ภาครัฐ
การใช้สินทรัพย์และอำนาจรัฐแทนเงินลงทุน
ในการร่วมทุนแบบ PPP รัฐบาลจะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ลงทุนหลักมาเป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก โดยรัฐใช้เพียงทรัพยากรที่มีอยู่ในการร่วมทุนเท่านั้น:
• ทรัพยากรที่รัฐใช้: รัฐใช้เพียง ที่ดินของรัฐ (ซึ่งเป็นทรัพยากรส่วนใหญ่ที่มีอยู่) ในการร่วมทุน
• อำนาจรัฐที่ใช้: รัฐใช้อำนาจที่มีอยู่ในการออก ใบอนุญาตให้สัมปทาน และออก กฎเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน
ดังนั้น การใช้ PPP จึงเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดทางการเงินของรัฐบาล ทำให้สามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติจำนวนมากได้ และทำให้เศรษฐกิจประเทศเจริญก้าวหน้า มีงานทำมากขึ้น และประชาชนมีรายได้ดีขึ้น
ทั้งนี้การใช้ PPP เป็นเหมือนการหา "นักลงทุนภายนอก" มาช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น โดยรัฐบาลเป็นเพียงผู้มอบสิทธิ์และใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ (ที่ดิน) แทนการใช้เงินกู้โดยตรง ซึ่งทำให้โครงการขนาดใหญ่เดินหน้าได้โดยไม่กระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ
อะไรทำให้เศรษฐกิจภูเก็ตเติบโตกว่าประเทศ?
สาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตเติบโตในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศนั้น มีที่มาจากปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้:
1. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น
• ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีสถิติการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 8.3%
• อัตราการเติบโตนี้สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศอย่างมาก
2. การเป็น 'จังหวัดที่เปิดกว้าง' และดึงดูดประชากรต่างชาติคุณภาพ
สาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจในภูเก็ตเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือการเพิ่มขึ้นของประชากร ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
• สัดส่วนชาวต่างชาติสูงมาก: ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ "เปิดกว้าง" โดยมีชาวต่างชาติมาพำนักและทำงาน (ซึ่งยังไม่นับรวมนักท่องเที่ยว) ประมาณ 33,068 คน จากประชากรทั้งหมด 429,583 คน
• คิดเป็น 7.7% ของประชากรทั้งหมด: สัดส่วนของชาวต่างชาติที่พำนักและทำงานในภูเก็ตอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 7.7 ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด
• สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 5 เท่า: สัดส่วนนี้คิดเป็นประมาณ 5 เท่าเศษ เมื่อเทียบกับสัดส่วนของชาวต่างชาติทั้งประเทศ ซึ่งมีเพียง 1.5% ของประชากรทั้งหมด
• ประชากรไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง: ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประชากรไทยในภูเก็ตก็เพิ่มขึ้นมาตลอดเช่นกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.05% ต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 11.1% ในรอบ 10 ปี ในขณะที่ประชากรไทยทั้งประเทศกลับค่อยๆ ลดลง
3. กลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การเพิ่มขึ้นของประชากรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังนี้:
• ทำให้เกิดการ อุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้น
• มีการสร้าง ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้น และกระจายไปทั่วเกาะ
ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของประชากรที่เข้ามาอยู่อาศัยในระยะยาว คือปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ภูเก็ตมีเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ
มาตรการจูงใจคนต่างชาติระยะยาวมีอะไรบ้าง?
มาตรการจูงใจคนต่างชาติให้เข้ามาพำนักในประเทศไทยใน ระยะปานกลางถึงระยะยาว แทนการส่งเสริมการท่องเที่ยวระยะสั้น เป็นหนึ่งในข้อเสนอสำคัญที่มุ่งเน้นการยกระดับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับกรุงเทพมหานครให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนระดับโลก
มาตรการและข้อเสนอเพื่อจูงใจชาวต่างชาติให้เข้ามาพำนักและทำงานในระยะยาว มีดังนี้:
1. การปฏิรูปกฎเกณฑ์และระบบราชการเพื่อยกระดับศูนย์กลางการเงิน
หากประเทศไทยสามารถยกระดับ "กรุงเทพมหานคร" ให้เป็นศูนย์กลางการเงิน การลงทุน การค้า และการซื้อขายหลักทรัพย์ข้ามประเทศได้ จะต้องมีการปฏิรูปและออกมาตรการจูงใจเพื่อให้ชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานระยะยาว:
• ยืดระยะเวลาสิทธิในการถือครอง: สิ่งที่ชาวต่างชาติเรียกร้องคือการยืดระยะเวลาการเช่าหรือสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน (ทรัพยิงอิงสิทธิ์) จาก 30 ปี ให้เป็น 90 ปี
• มาตรการภาษีที่จูงใจ: ต้องมีการใช้มาตรการทางภาษีจูงใจที่มากขึ้น โดยเทียบเท่ากับมาตรการที่ใช้ในประเทศ สิงคโปร์ และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)
• ปฏิรูประบบราชการ: ต้องยกเลิกระบบราชการที่มีขั้นตอนซับซ้อนและใช้เวลานาน ซึ่งปัจจุบันมีความเข้มงวดกับเรื่องเล็กน้อย ต้องการเอกสารประกอบจำนวนมาก ใช้เวลาขออนุญาตนาน และกำหนดให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยต้องไปรายงานตัวทุก 3 เดือน เป็นต้น (มีการเสนอให้ปฏิรูปขนาดใหญ่เพื่อลดทอนสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นออกไปให้เหลือเท่าที่สิงคโปร์ใช้อยู่ โดยใช้เวลาเพียง 3 เดือน)
• การอำนวยความสะดวก: ต้องอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม การจดทะเบียน และการอนุมัติวีซ่าสำหรับคนต่างชาติให้ง่ายกว่าเดิม
หมายเหตุ: หากสามารถจูงใจชาวต่างชาติมืออาชีพให้มาอยู่และทำงานในไทยได้ปีละ 10,000 คน โดยที่แต่ละคนใช้จ่ายประมาณ 4 ล้านบาทต่อปี จะสร้างรายได้ให้ประเทศได้ถึงประมาณ 40,000 ล้านบาท
2. การส่งเสริมกลุ่มเป้าหมายเฉพาะสำหรับระยะปานกลาง-ยาว
มีการเสนอมาตรการส่งเสริมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติกลุ่มคุณภาพ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก:
|
กลุ่มเป้าหมาย |
มาตรการส่งเสริม |
ประมาณการจำนวน/ปี |
ประมาณการรายได้/ปี |
|
นักเรียน/นักศึกษา |
ส่งเสริมให้เข้ามาศึกษาหลักสูตรนานาชาติในประเทศไทย |
10,000 ราย |
10,000 ล้านบาท (ใช้จ่าย 1 ล้านบาท/ราย) |
|
ผู้สูงวัยเกษียณ |
ส่งเสริมผู้สูงวัยจากประเทศที่มีรายได้สูง (โดยเฉพาะประเทศที่มีอากาศหนาว) ให้ย้ายมาเกษียณในประเทศไทย |
10,000 ราย |
10,000 ล้านบาท (ใช้จ่าย 1 ล้านบาท/ราย) |
|
นักวิชาชีพที่ขาดแคลน |
ส่งเสริมให้นักวิชาชีพด้าน Digital Technology, Finance, Marketing (ที่ประเทศไทยขาดแคลน) เข้ามาทำงานในประเทศไทย |
10,000 ราย |
40,000 ล้านบาท (ใช้จ่าย 4 ล้านบาท/ราย) |
|
นักลงทุน |
ส่งเสริมให้นักลงทุนประเภทต่างๆ เข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ เงินตรา อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการค้า การบริการ และอุตสาหกรรม |
10,000 ราย |
100,000 ล้านบาท (ใช้จ่าย 10 ล้านบาท/ราย) |
รวมรายได้จาก 4 กลุ่มเป้าหมายนี้ คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า 160,000 ล้านบาทต่อปี