เปิดฉากทัศน์ 4 องค์กรหลักเสี่ยงวิกฤต หากไม่เร่งสร้างสุขภาวะที่ดี

20 พ.ย. 2568 | 08:15 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ย. 2568 | 08:16 น.

CMMU - สสส. เปิดผลวิจัยคาดการณ์อนาคตสุขภาวะองค์กรไทย ชี้ 4 องค์กรหลัก เอกชน-รัฐ-วัด-มหาวิทยาลัย เสี่ยงเผชิญวิกฤต Burnout-ซึมเศร้า-สมองไหล หากไม่เร่งสร้างสุขภาวะตั้งแต่วันนี้ พร้อมเสนอ Roadmap นำทางระยะสั้น-กลาง-ยาว ย้ำ "นโยบาย" กับ "ทัศนคติบุคลากร" ต้องเดินคู่กัน

KEY

POINTS

  • CMMU ร่วมกับ สสส. เผยผลวิจัยคาดการณ์อนาคตสุขภาวะองค์กรไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ชี้ 4 องค์กรหลัก ได้แก่ ภาคเอกชน, ภาครัฐ, วัด และมหาวิทยาลัย เสี่ยงเผชิญวิกฤต
  • ผลการศึกษาได้จำลอง 4 ฉากทัศน์อนาคตของแต่ละองค์กร ตั้งแต่สถานการณ์ในอุดมคติไปจนถึงเลวร้ายที่สุด โดยวิเคราะห์จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ นโยบายของผู้บริหาร และทัศนคติของบุคลากร
  • หากองค์กรต่างๆ ไม่เร่งสร้างเสริมสุขภาวะที่ดี อาจนำไปสู่วิกฤต เช่น ปัญหาคนทำงานหมดไฟ (Burnout), ประสิทธิภาพการทำงานตกต่ำ, ประชาชนขาดความเชื่อมั่น และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
  • งานวิจัยได้เสนอแผนที่นำทางเชิงกลยุทธ์ (Strategic Roadmap) เพื่อเป็นแนวทางให้องค์กรนำไปปรับใช้ ป้องกันวิกฤต และมุ่งสู่การเป็นองค์กรสุขภาวะที่ยั่งยืน

วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ร่วมกับ สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยแพร่ผลการคาดการณ์ฉากทัศน์อนาคต "Foresight 2035 and Strategic Roadmap: Future of Well-being Organizations" ฉายภาพอนาคตสุขภาวะองค์กรไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า 4 องค์กรหลัก ได้แก่ เอกชน-รัฐ-วัด-มหาวิทยาลัย ผ่าน 16 ฉากทัศน์ ตั้งแต่ฉากทัศน์ในอุดมคติ ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญไปจนถึงความเลวร้ายที่ต้องรับมือโดยภายในงานเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาได้เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อจัดทำ Roadmap ร่วมกันด้วย

นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สสส. เปิดเผยว่า คนวัยทำงาน ถือเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ สุขภาวะของคนทำงานจึงเป็นรากฐานสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศ หากคนทำงานมีสุขภาพกายใจที่ดี ประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น องค์กรก็จะแข็งแกร่ง เติบโตก้าวหน้า ส่งผลให้ประเทศเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาการเสริมสร้างสุขภาวะในองค์กรไทยส่วนใหญ่เป็นเพียงโครงการระยะสั้น ขาดทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนา และไม่เชื่อมโยงกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ส่วนหนึ่งเพราะยังมองไม่เห็นว่าอนาคตข้างหน้าจะต้องเผชิญอะไร จึงทำได้แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่ไม่สามารถวางแผนป้องกันล่วงหน้าได้

การคาดการณ์อนาคตจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เห็นภาพ 10 ปีข้างหน้าว่า องค์กรไทยมีความเสี่ยงจะต้องเจออะไรและต้องเตรียมการรับมืออย่างไรเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามจนแก้ไม่ทัน 

นายพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) สสส.

สสส. จึงสนับสนุนทุนวิจัยแก่วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำโครงการจัดทำแผนที่นำทางและการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ งานสร้างเสริมสุขภาวะองค์กร "Foresight 2035 and Strategic Roadmap: Future of Well-being Organizations" เพื่อวิเคราะห์ฉากทัศน์องค์กรสุขภาวะอีก 10 ปี ข้างหน้าของ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ องค์กรภาคเอกชน, หน่วยงานภาครัฐ, องค์กรในพระพุทธศาสนา (วัด) และมหาวิทยาลัย

พร้อมนำเสนอแนวทางสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรในระยะสั้น กลาง และยาว ที่เหมาะกับบริบทของแต่ละองค์กรเพื่อให้ทุกภาคส่วนมี Roadmap ที่ชัดเจนที่จะพาองค์กรไปสู่อนาคตที่ดีที่สุดได้

เปิดฉากทัศน์ 4 องค์กรหลักเสี่ยงวิกฤต หากไม่เร่งสร้างสุขภาวะที่ดี

"งานวิจัยครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่การจัดทำ Roadmap เชิงรุกเพื่อวางแผนสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรอย่างเป็นระบบ เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต สสส. จะใช้ Roadmap นี้ เป็นแนวทางในการวางแผนงานและสนับสนุนโครงการต่าง ๆ

ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อมุ่งเป้าหมายให้คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำงานอย่างมีความสุขและองค์กรไทยทุกแห่งเป็น Well-being Organizations ที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

ด้าน รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี หัวหน้าทีมวิจัยโครงการจัดทำแผนที่นำทางและการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ งานสร้างเสริมสุขภาวะองค์กร กล่าวถึง กระบวนการ Strategic Foresight ว่า ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก เริ่มจากการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมสำคัญตามกรอบ PESTEL ครอบคลุม 6 มิติหลัก ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเหล่านี้

จากนั้นจัด Focus Group ระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญจาก 4 องค์กรเป้าหมาย ได้แก่ ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรในพระพุทธศาสนา และมหาวิทยาลัยรวมกว่า 100 กว่าคน รวบรวมข้อมูลเชิงลึกแล้วนำมา วิเคราะห์ฉากทัศน์อนาคต ด้วย Scenario Planning แบบ 2×2 Matrix โดยใช้ 2 แกนหลัก 

รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี หัวหน้าทีมวิจัยโครงการฯ แกนแรก คือ Policy Engagement การมีนโยบายและการสนับสนุนจากผู้บริหารทั้งงบประมาณ ทรัพยากร และการผลักดัน ส่วนแกนที่สอง คือ Mindset/Motivation หรือทัศนคติและแรงจูงใจของบุคลากรว่า พวกเขาเห็นความสำคัญและพร้อมเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เมื่อนำทั้ง 2 แกนมาตัดกันจะได้ฉากทัศน์ 4 แบบ ตั้งแต่ "ดีที่สุด" ไปจนถึง "เลวร้ายที่สุด" 

ขั้นต่อมา คือ การคัดเลือกฉากทัศน์เป้าหมาย แล้วออกแบบกลยุทธ์ว่าจะไปให้ถึงได้อย่างไร เพื่อนำไปสู่ขั้นสุดท้าย จัดทำ Strategic Roadmap หรือแผนที่นำทางเชิงกลยุทธ์ว่า หากองค์กรไทยต้องการไปให้ถึงฉากทัศน์ที่ต้องการภายในปี 2035 ต้องเริ่มทำอะไรตั้งแต่วันนี้ ทั้งในระยะสั้น 1-2 ปี ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงและมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขและความยั่งยืน

เปิดฉากทัศน์ 4 องค์กรหลักเสี่ยงวิกฤต หากไม่เร่งสร้างสุขภาวะที่ดี

จากการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมสำคัญตามกรอบ PESTEL พบว่าทุกองค์กรต้องเผชิญกับ 2 ปัจจัยหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ สังคมผู้สูงอายุ ที่ทำให้แรงงานลดลงและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพุ่งสูงขึ้น และ AI-Digital-Automation ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกการทำงาน ทำให้ทักษะแรงงานเดิมเสี่ยงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากนี้แต่ละองค์กรยังมีปัจจัยเฉพาะที่ต้องเผชิญ เช่น

ภาคเอกชน ต้องรับมือกับปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง, ภาครัฐ ถูกกดดันด้วยเสถียรภาพทางการเมือง, วัด มีปัญหาสิ่งแวดล้อมและกฎหมายล้าหลัง และ มหาวิทยาลัย ต้องเผชิญกับอัตราการว่างงาน ปัญหาสุขภาพจิต และมลพิษทางอากาศ PM2.5

ด้าน ผศ.ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าโครงการจัดทำแผนที่นำทางและการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ งานสร้างเสริมสุขภาวะองค์กร กล่าวถึงผลการวิจัยว่า ทุกองค์กรมีโมเดลการวิเคราะห์ฉากทัศน์รูปแบบเดียวกันโดยผสมผสานระหว่าง 2 ปัจจัย ได้แก่ นโยบายจากผู้บริหาร และทัศนคติของบุคลากร แบ่งเป็น
4 ฉากทัศน์ ได้แก่

ฉากทัศน์ที่ 1:  ฉากทัศน์ในอุดมคติ นโยบายชัด บุคลากรพร้อมร่วมมือ

ฉากทัศน์ที่ 2: นโยบายดี แต่บุคลากรไม่เห็นคุณค่าและไม่ร่วมมือ

ฉากทัศน์ที่ 3: บุคลากรพร้อม แต่นโยบายไม่ชัดขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง

ฉากทัศน์ที่ 4: เลวร้ายที่สุด ไม่มีนโยบายรองรับ บุคลากรก็ไม่สนใจโดยมีผลการวิเคราะห์ฉากทัศน์ของแต่ละองค์กร ดังนี้ 

องค์กรภาคเอกชน 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1. องค์กรสุขภาวะยั่งยืน 2. สุขภาวะตามสั่ง 3. สุขภาวะวิ่งสู้ฟัด 4. วังวนองค์กรแห่งปัญหา 

กล่าวคือ บริษัทที่ออกแบบระบบสุขภาวะอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะก้าวสู่การเป็น "องค์กรที่น่าทำงานมากที่สุด" หรือ องค์กรสุขภาวะยั่งยืน พนักงานมี Work-Life Harmony มีประสิทธิภาพการทำงานสูง และต้นทุนสุขภาพลดลง

ขณะที่องค์กรที่ละเลย ย่อมเสี่ยงหลุดสู่ "วังวนแห่งปัญหา" เต็มไปด้วยบุคลากร Burnout โรค NCDs ค่ารักษาพยาบาลพุ่ง คนลาออก สูญเสียคนเก่ง

ผศ.ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าโครงการฯ

หน่วยงานภาครัฐ 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1. องค์กรรัฐสุขยั่งยืน 2. สุขภาวะเชิงนโยบาย 3. ข้าราชการไทยหัวใจสุขภาวะ 4. สุขภาวะราชการล้มเหลว

กล่าวคือ หากนโยบายและทัศนคติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ข้าราชการจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพรัฐมีภาพลักษณ์ดีและเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนแต่หากปล่อยปละละเลย ไม่สนับสนุนอย่างจริงจัง ประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการจะลดลง คุณภาพการให้บริการประชาชนตกต่ำ ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ข้าราชการต้องออกก่อนเกษียณเพราะปัญหาสุขภาพ กลายเป็นหน่วยงานรัฐที่ล้มเหลว

องค์กรในพระพุทธศาสนา (วัด) 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1. วัดประชาสร้างสุข 2. วัดและสังคมอุดมนโยบาย 3. อิทธิบาท 4 นำสร้างสุข  4. วัดสุขภาวะอ่อนแรง

กล่าวคือ วัดที่ขับเคลื่อนสุขภาวะอย่างจริงจัง ไม่เพียงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแต่จะกลายเป็น "ศูนย์กลางสุขภาพชุมชน" ส่งเสริมสุขภาพกาย–ใจ ทั้งพระสงฆ์และชาวบ้าน แต่หากไม่มีการจัดการและดูแลอย่างจริงจัง วัดจะกลายเป็นแหล่งอบายมุข พระเสพเมถุน สุขภาพย่ำแย่ อาพาธ ประชาชนเสื่อมศรัทธา

มหาวิทยาลัย 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1.มหาวิทยาลัยสุขภาวะต้นแบบ 2. วิชาสุขภาวะออนไลน์ 3. มหาวิทยาลัยใช้ใจสร้างสุข 4. มหาวิทยาลัยสุขภาวะอ่อนล้า

กล่าวคือ มหาวิทยาลัยที่สร้างระบบสนับสนุนสุขภาวะครบวงจร บุคลากรจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตบัณฑิตคุณภาพแต่หากละเลยการสร้างเสริมสุขภาวะทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติ มหาวิทยาลัยจะเต็มไปด้วยบุคลากร Burnout อัตราการป่วยด้วยโรคซึมเศร้า NCDs พุ่งสูง ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยดิ่ง ถูกตัดงบประมาณ บุคลากรถูกเลิกจ้าง กลายเป็นภาระสังคมต่อไป 

ทั้งนี้ ผศ.ดร.บุญยิ่ง ย้ำว่า ทั้ง Policy และ Mindset ต้องเดินคู่กัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ องค์กรที่มีนโยบายดีมีสวัสดิการพร้อมแต่บุคลากรไม่ซื้อก็จะสูญเสียทรัพยากรไปเปล่า ๆ ในทางกลับกันบุคลากรพร้อมแต่องค์กรไม่สนับสนุนก็จะท้อแท้ Burnout และลาออกไปในที่สุด ดังนั้น การพัฒนาจึงต้องไปด้วยกันทั้ง 2 แกนหลัก 

ทั้งนี้ จากฉากทัศน์ดังกล่าวนำไปสู่การจัดทำ Strategic Roadmap ระยะสั้นภายใน 1-2 ปี โดยสรุปเป็น 10 Best Practice ที่นำไปปรับใช้ได้กับทุกฉากทัศน์และทุกองค์กรเพื่อสร้างระบบสุขภาวะที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมตั้งแต่การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การสร้างความมั่นคงในอาชีพ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในองค์กร การเพิ่มขีดความสามารถและสร้างกลไกให้ความรู้

เปิดฉากทัศน์ 4 องค์กรหลักเสี่ยงวิกฤต หากไม่เร่งสร้างสุขภาวะที่ดี

การให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับนโยบายจากผู้บริหาร การกำหนดผู้รับผิดชอบด้านเสริมสร้างสุขภาวะที่ชัดเจน การเข้าถึงระบบสาธารณสุข นโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐ และการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกับแผนประเด็นยุทธศาสตร์ 7+1 ของ สสส.โดยมีข้อเสนอเฉพาะที่เหมาะกับบริบทของแต่ละองค์กร เช่น 

องค์กรเอกชน : ควรทบทวนปรับลดชั่วโมงทำงานให้เหมาะสม และมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องสุขภาวะอย่างจริงจัง 

ภาครัฐ : ควรเพิ่มทักษะความรู้ในการทำงาน โดยเฉพาะทักษะ Digital และ AI ให้แก่ข้าราชการ พร้อมมีมาตรการจูงใจ เช่น มอบรางวัลแก่หน่วยงานต้นแบบที่สร้างระบบสุขภาวะได้ดี 

วัด: ควรจัดทำ "ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์" เป็นกรอบปฏิบัติของพระสงฆ์ทุกระดับชั้น และพัฒนาวัดที่มีความพร้อมให้กลายเป็น "ศูนย์สุขภาพชุมชน" 

มหาวิทยาลัย: ควรจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลสุขภาพและเครือข่ายวิจัยสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมในมหาวิทยาลัยและนำเรื่องสุขภาวะมากำหนดตัวชี้วัด Performance Assessment (PA)

เปิดฉากทัศน์ 4 องค์กรหลักเสี่ยงวิกฤต หากไม่เร่งสร้างสุขภาวะที่ดี

ผศ.ดร.บุญยิ่ง ย้ำว่า หากไทยไม่เร่งวาง Roadmap อย่างจริงจัง องค์กรจำนวนมากอาจติดอยู่ในฉากทัศน์ที่ 2-3-4 ผลที่จะตามมาไม่ใช่เพียงจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นหรือค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้นแต่จะกระทบถึงผลิตภาพแรงงาน ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจและความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจโดยรวม

ขณะที่ภาครัฐจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หากไม่สามารถเตรียมการรับมือและเตรียมการป้องกันได้ทันเวลา

ในทางกลับกันหากทุกภาคส่วนใช้ Roadmap นี้เป็นแผนที่นำทาง เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ขององค์กร ความเป็นไปได้ที่จะเกิดฉากทัศน์ในอุดมคติทั้ง "องค์กรสุขภาวะยั่งยืน", "องค์กรรัฐสุขยั่งยืน", "วัดประชาสร้างสุข" และ "มหาวิทยาลัยสุขภาวะต้นแบบ" จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

"อนาคต คือ ผลของการกระทำในวันนี้ การวิจัยครั้งนี้ไม่ได้ฟันธงว่า ฉากทัศน์แบบไหนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแต่เป็นการฉายให้เห็นภาพอนาคตที่เป็นไปได้

หากวันนี้เรายังไม่ทำอะไร ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้แต่ถ้าเราร่วมมือและลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ก็สามารถพาองค์กรไปสู่ฉากทัศน์ที่ดีที่สุดได้เช่นกัน" ผศ.ดร.บุญยิ่ง สรุปย้ำทิ้งท้าย