จากคืนปล่อยผีสู่เทศกาลแฟนซี เปิดที่มา ‘วันฮาโลวีน’ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

30 ต.ค. 2568 | 18:30 น.

เบื้องหลังเสียงหัวเราะและชุดแฟนซีในคืนวันที่ 31 ตุลาคม คือพิธีกรรมโบราณของชาวยุโรปเหนือที่เชื่อว่าเป็นวันที่โลกของคนตายและคนเป็นเชื่อมถึงกัน วันฮาโลวีนจึงไม่ใช่เพียงความสนุก แต่คือเรื่องราวของความเชื่อ การเปลี่ยนผ่าน และการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เดินทางผ่านกาลเวลา

KEY

POINTS

  • วันฮาโลวีนมีต้นกำเนิดจากเทศกาล “ซอวิน” (Samhain) ของชาวเคลต์โบราณ ซึ่งเชื่อว่าเป็นวันที่โลกคนเป็นและโลกวิญญาณเชื่อมถึงกัน
  • ชื่อ “ฮาโลวีน” (Halloween) มาจากการเรียกคืนก่อนวันนักบุญทั้งหลาย (All Saints’ Day) ว่า “All Hallows’ Eve” ซึ่งเป็นการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับศาสนาคริสต์
  • สัญลักษณ์ฟักทองแกะสลัก หรือ “แจ็คโอแลนเทิร์น” มีที่มาจากตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ซึ่งเดิมใช้หัวผักกาดก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นฟักทองในสหรัฐอเมริกา
  • จากพิธีกรรมขับไล่วิญญาณร้ายในอดีต ปัจจุบันฮาโลวีนได้กลายเป็นเทศกาลสากลที่เน้นความสนุกสนาน การแต่งกายแฟนซี และความคิดสร้างสรรค์

วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่ผู้คนทั่วโลกเฉลิมฉลอง “วันฮาโลวีน” (Halloween) เทศกาลที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของความลึกลับและสีสัน ทั้งเครื่องแต่งกายผี ขนม “Trick or Treat” และการประดับบ้านด้วยฟักทองแกะสลัก แต่แท้จริงแล้ว ฮาโลวีนมีต้นกำเนิดย้อนไปหลายพันปีจากพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อของชนเผ่าโบราณในยุโรป

รากเหง้าจากเทศกาล “ซอวิน” (Samhain) ของชาวเคลต์

ฮาโลวีนมีที่มาจาก “Samhain” (อ่านว่า ซอวิน) เทศกาลโบราณของชาวเคลต์ (Celts) ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และสหราชอาณาจักร เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวและต้อนรับฤดูหนาว ซึ่งเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ “โลกของคนเป็น” และ “โลกของวิญญาณ” เชื่อมต่อถึงกันได้

ในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเคลต์จะจุดกองไฟขนาดใหญ่เพื่อขับไล่วิญญาณร้าย และแต่งกายด้วยหนังสัตว์หรือหน้ากากเพื่อพรางตัวไม่ให้ผีจำได้ว่าตนเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกันยังมีการทำอาหารและเครื่องเซ่นไหว้เพื่อบูชาวิญญาณบรรพบุรุษและเทพเจ้าแห่งความตายที่ชื่อว่า ซาวิน (Samhain)

การเปลี่ยนผ่านสู่ประเพณีของคริสต์ศาสนา

ต่อมาเมื่อคริสต์ศาสนาเริ่มแพร่หลายเข้าสู่ยุโรป เทศกาลซอวินก็ถูกปรับให้เข้ากับหลักศาสนา โดยในศตวรรษที่ 8 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 3 ได้ประกาศให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็น “วันออลเซนต์” (All Saints’ Day) หรือ “วันนักบุญทั้งหลาย” เพื่อรำลึกถึงนักบุญและผู้พลีชีพในศาสนา ส่วนคืนก่อนหน้านั้นจึงถูกเรียกว่า “All Hallows’ Eve” ซึ่งต่อมาถูกย่อเหลือเป็น “Halloween”

ประเพณีนี้ยังคงผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมกับพิธีทางศาสนา เช่น การจุดเทียนในสุสาน การสวดภาวนาให้ผู้ล่วงลับ และการเดินเคาะประตูบ้านเพื่อขออาหารหรือของขวัญ ซึ่งเป็นต้นแบบของกิจกรรม “Trick or Treat” ในปัจจุบัน

ฟักทองแจ็คโอแลนเทิร์น และสัญลักษณ์ประจำเทศกาล

หนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของวันฮาโลวีนคือ ฟักทองแกะสลัก (Jack-O’-Lantern) ซึ่งมีที่มาจากตำนานชาวไอริชชื่อ “แจ็คคนขี้เมา” (Stingy Jack) ที่หลอกปีศาจและถูกสาปให้เร่ร่อนไปในความมืด โดยถือหัวผักกาดที่ใส่ถ่านไฟส่องทางไว้ ภายหลังเมื่อชาวไอริชอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา พวกเขาเปลี่ยนจากหัวผักกาดเป็นฟักทอง ซึ่งมีมากและแกะสลักง่ายกว่า กลายเป็นประเพณีที่แพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้

การแพร่หลายสู่สหรัฐอเมริกาและทั่วโลก

ผู้อพยพชาวยุโรปโดยเฉพาะชาวไอริชนำประเพณีฮาโลวีนเข้าสู่สหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19 จนกลายเป็นเทศกาลใหญ่ระดับประเทศ มีการจัดขบวนพาเหรด การแต่งกายเป็นผีหรือซูเปอร์ฮีโร่ และการตกแต่งบ้านอย่างอลังการ ปัจจุบัน ฮาโลวีนได้กลายเป็นเทศกาลสากลที่หลายประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น และไทย ต่างร่วมจัดกิจกรรมในรูปแบบของตนเอง

จากพิธีกรรมโบราณสู่เทศกาลแห่งวัฒนธรรมร่วมสมัย

แม้ต้นกำเนิดของวันฮาโลวีนจะเต็มไปด้วยความเชื่อเกี่ยวกับโลกวิญญาณและการปกป้องตนจากภูตผี แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นเทศกาลแห่งความสนุก สนับสนุนการแสดงออกทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของผู้คนทั่วโลก ทั้งในด้านการแต่งกาย การตกแต่ง และกิจกรรมสำหรับครอบครัว

จากพิธีกรรมขับไล่ผีของชาวเคลต์เมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน วันนี้ฮาโลวีนได้กลายเป็นหนึ่งในเทศกาลระดับโลกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังคงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน