KEY
POINTS
จากกรณี ข้อสั่งการล่าสุดของนายอนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยและสาธารณสุขร่วมหารือศึกษาแนวทางการยกเลิกโซนนิ่งพื้นที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึง 04.00 น. และยกเลิกข้อห้ามขายช่วงบ่าย 14.00–17.00 น. ภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อหวังผลรายได้จากการจัดเก็บภาษีและกระตุ้นการเศรษฐกิจท่องเที่ยว ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มธุรกิจและผู้ประกอบการร้นเหล้าผับบาร์
รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า ศูนย์วิจัยปัญหาสุรามีความห่วงกังวลอย่างยิ่งกับข้อสั่งการดังกล่าวที่หวังผลว่าจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษี และกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวนั้น แต่คำถามสำคัญคือ นี่เป็นการแลกเศรษฐกิจด้วยชีวิตคนไทยหรือไม่
เนื่องจากมีหลักฐานวิชาการที่มีการประเมินนโยบายการอนุญาตให้เปิดผับ บาร์ได้ถึงเวลา 04.00 น.ในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัด ในปี 2567 พบว่า การผ่อนคลายกฎหมายลักษณะนี้ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ตั้งเป้า
แต่กลับสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีข้อมูลดังนี้
“ส่วนด้านเศรษฐกิจก็ไม่ได้เติบโตตามที่อ้าง จังหวัดที่ไม่ได้ขยายเวลาปิดสถานบันเทิงกลับมีอัตราการเติบโตด้านรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวสูงกว่าเกือบ 2 เท่า แสดงว่าการท่องเที่ยวคุณภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดื่มแอลกอฮอล์จนดึก” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าว
รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวต่อว่า ดังนั้น หากข้อสั่งการใหม่นี้ถูกขยายทั่วประเทศ ผลกระทบย่อมรุนแรงขึ้นหลายเท่า ซึ่งการเลิกโซนนิ่ง จะทำให้สถานบันเทิงกระจายไปทั่ว เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ควบคุมยากขึ้น การขยายเวลาเปิดถึงตีสี่ จะเพิ่มการดื่มต่อเนื่องยาวนาน ความเสี่ยงเมาแล้วขับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
การยกเลิกห้ามขายช่วงบ่าย จะเปิดช่องให้เยาวชนและผู้ใช้แรงงานเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในช่วงเวลาที่เดิมออกแบบมาเพื่อป้องกันการดื่มต่อเนื่อง ฉะนั้น นี่ไม่ใช่เพียงประเด็นเศรษฐกิจ แต่คือเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะเยาวชนและกลุ่มเปราะบางที่มักเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง
รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ตนขอเสนอต่อรัฐบาลดังนี้
1. รัฐบาลควรทบทวนและไม่ขยายเสรีการขายเหล้า เนื่องจากหลักฐานชี้ชัดว่า “ต้นทุนทางสุขภาพและสังคมสูงกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ”
2. หากมีการดำเนินการใด ๆ ต้อง คงระบบโซนนิ่ง และเสริมมาตรการควบคุม เช่น การตรวจบัตรจริงจัง การตรวจวัดแอลกอฮอล์ก่อนออกจากสถานบันเทิง และบทลงโทษที่ชัดเจน
3. ควรไปพัฒนาเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เช่น วัฒนธรรม ธรรมชาติ และสุขภาพ ที่สร้างรายได้ระยะยาวโดยไม่เพิ่มภาระต่อสุขภาพและความปลอดภัยของสังคม
“นโยบายเปิดเสรีแอลกอฮอล์อาจถูกเสนอว่าเป็นทางลัดทางเศรษฐกิจ แต่หลักฐานเชิงวิชาการยืนยันแล้วว่านี่คือ ทางตันด้านสาธารณสุขและความปลอดภัย ศวส. จึงขอเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะเศรษฐกิจที่ได้เพียงเล็กน้อย ไม่ควรแลกด้วยสุขภาพและความมั่นคงทางสังคมของประชาชนทั้งประเทศ และที่สำคัญ ความย้อนแย้งเชิงนโยบายนี้ยิ่งตอกย้ำข้อกังวล รัฐบาลนี้เป็นพรรคที่คัดค้าน พ.ร.บ. Entertainment Complex โดยอ้างความห่วงใยผลกระทบต่อสังคม แต่กลับใช้เหตุผลอีกแบบในการขยายเวลาขายและยกเลิกโซนนิ่ง แม้จะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ชัดถึงผลเสีย หากการใช้ข้อมูลยังมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ประชาชนจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าการตัดสินใจด้านนโยบายทำขึ้นเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างแท้จริง” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าว