เตือน 7 จว.ภาคกลาง เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง 17-22 ก.ย.68

16 ก.ย. 2568 | 03:22 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ย. 2568 | 03:27 น.

สทนช.เตือน 7 จังหวัดภาคกลางรวมกทม.เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงวันที่ 17-22 กันยายนนี้ เช็กพิกัดพื้นที่เสี่ยงที่นี่

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาจากกรมอุทกศาสตร์ โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียงในระหว่างวันที่ 17 – 22 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 16.00 - 19.00 น. เป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงอาจมีความสูงประมาณ 1.70 – 1.90 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.20 เมตร

เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่าน ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุม ทำให้มีฝนตกในบางพื้นที่ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วม เนื่องจากน้ำทะเลหนุนบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม 

ในส่วนของสทนช.ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมรับมือ ดังนี้

  • ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบความมั่นคงอาคารป้องกันริมแม่น้ำและเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงบริเวณที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งข้อมูลแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำตามริมแม่น้ำทราบล่วงหน้า
  • เตรียมเครื่องจักรเครื่องมือเพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนได้ทันที
  • ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมปรับแผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์

อนึ่งนอกจากเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ในช่วงวันที่ 17-22 กันยายน 2568 สทนช.ยังเฝ้าติดตามระดับน้ำแม่น้ำท่าจีนอย่างใกล้ชิด หลังฝนตกต่อเนื่อง 

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำหลายสายเพิ่มสูงขึ้นและล้นตลิ่งเข้าท่วมชุมชนพื้นที่ลุ่มต่ำและริมแม่น้ำ โดยเฉพาะระดับน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 15 ก.ย.68  มีปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ที่ 2,224 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที รวมกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังที่ไหลลงมาสมทบที่อัตรา 102 ลบ.ม. ต่อวินาที ทำให้ระดับน้ำบริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น มีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 2,414 ลบ.ม. ต่อวินาที

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

เพื่อเป็นการช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้คงอัตราการระบายที่ 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที  จึงได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำท่าจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากต้องรับมวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ประกอบกับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมชุมชนในหลายพื้นที่ของจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรสาคร 

ดร.สุรสีห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เพื่อลดผลกระทบให้เร็วที่สุด โดย กรมชลประทานได้เร่งติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 32 เครื่อง ทั้ง 6 จุด ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ บริเวณประตูระบายน้ำคลองบางพระ, สะพานวัดสำโรง, สะพานรวมเมฆ, สะพานสาย 8, สะพานทรงคะนอง และสะพานโพธิ์แก้ว เพื่อเร่งการระบายน้ำให้ไหลออกสู่อ่าวไทยได้เร็วยิ่งขึ้น 

ขณะเดียวกัน กรมเจ้าท่าได้เร่งประสานการเคลื่อนย้ายเรือลำเลียงสินค้าและเรือที่กีดขวางทางน้ำ เพื่อเปิดเส้นทางน้ำให้กว้างขึ้นและเพิ่มความคล่องตัวในการระบายน้ำ ลดผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำให้ได้มากที่สุด

สำหรับแม่น้ำท่าจีนถือเป็นเส้นทางระบายน้ำสายหลักของแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก มีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคกลางก่อนระบายน้ำออกสู่อ่าวไทย ผ่านระบบชลประทานที่เชื่อมโยงกันทั้งลุ่มน้ำ ปัจจุบันยังประสบข้อจำกัด ทั้งการระบายน้ำช้าจากภูมิประเทศที่เป็นที่ราบลุ่ม ปัญหาตะกอนทับถมทำให้ลำน้ำตื้นเขิน ความคดเคี้ยวของลำน้ำ รวมถึงผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนที่จังหวัดสมุทรสาคร 

ขณะเดียวกันสิ่งปลูกสร้างและการขยายตัวของชุมชนก็ยังกีดขวางเส้นทางน้ำ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่ท้ายน้ำด้วย ทั้งนี้ สทนช. จะติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด