วันที่ 15 กันยายน 22568 กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า ระยะนี้มีสัญญาณการก่อตัวของหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ ช่วง 16 - 19 ก.ย.68 และเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งประเทศเวียดนาม และเคลื่อนปกคลุม สปป.ลาว กัมพูชา และภาคอีสานของไทย ทั้งนี้ต้องจับตาในช่วงสัปดาห์หน้าว่าจะมีแนวโน้มก่อตัวเป็นพายุหรือไม่อย่างไร
ด้านสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ได้ประเมินว่า ในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม มีแนวโน้มจะมีการก่อตัวของพายุอีก 1-2 ลูก ซึ่งจะทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในประเทศไทย ในส่วนของสทนช. ได้มีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมรับมือ โดยได้ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาวางแผนบริหารจัดการน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มลุ่มน้ำต่างๆ ได้แก่
- กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล ซึ่งขณะนี้เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำ 67% ของความจุเก็บกัก ที่ประชุมจึงมีมติให้เพิ่มอัตราการระบายจาก 18 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างของเขื่อน โดยต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำและสอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำท้ายเขื่อนในแต่ละวันด้วย
- กลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าแหล่งน้ำหลายแห่งมีปริมาณน้ำให้เต็มความจุเก็บกักแล้ว ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง มีปริมาณน้ำ 100% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ น้ำอูน มีปริมาณน้ำ 90% ของความจุเก็บกัก และหนองหาร มีปริมาณน้ำ 98% ของความจุเก็บกัก ที่ประชุมจึงมีมติให้เพิ่มการระบายน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนในรอบถัดไป
- กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขณะนี้ยังคงมีมวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนของประเทศไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังไหลลงมาสมทบ ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยมีอัตราน้ำไหลผ่านที่ 2,200 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อเป็นการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมอย่างสมดุลและส่งผลกระทบต่อประชาชนในทุกพื้นที่น้อยที่สุด ที่ประชุมจึงมีมติให้
- เขื่อนภูมิพล ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 87% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน คงอัตราการระบายน้ำไว้ก่อนในระยะ 1 สัปดาห์จากนี้ เพื่อชะลอมวลน้ำที่จะไหลลงไปด้านท้ายน้ำ
- เขื่อนเจ้าพระยา ปัจจุบันมีอัตราการระบายที่ 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลให้มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม 138,100 ไร่ ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกให้ได้มากที่สุด เช่น ระบายน้ำไปทางคลองส่งน้ำที่ยังสามารถรองรับได้ รวมถึงกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดลำน้ำเพื่อเร่งการระบาย พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือที่จะช่วยผลักดันน้ำให้เต็มศักยภาพ ในกรณีที่จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาให้สูงกว่า 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ที่ประชุมมีมติให้จัดทำหนังสือขออนุญาตต่อประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ล่วงหน้า 3 วัน และให้กรมชลประทานแจ้งเตือนจังหวัดในพื้นที่ท้ายน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้เตรียมรับมือล่วงหน้าเพื่อลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)กล่าวว่า “เนื่องจากสถานการณ์ฝนในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป จะยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่องและตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ สถานภาพอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีแนวโน้มปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณน้ำในลุ่มน้ำปิง ยม และน่านเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่อาจต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำในหลายจังหวัด
ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการเสนอคำสั่งแต่งตั้ง “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” เพื่อให้ประธาน กนช. พิจารณาลงนามในคำสั่ง ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การยกระดับสถานการณ์อุทกภัย ระดับที่ 2 ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ กนช. เห็นชอบต่อไป เพื่อให้สามารถบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”