“ดร.สุวิทย์” เปิด 10 หน้ากาก Deep State อำนาจลึกที่ฉุดไทยไม่ให้ไปต่อ

06 ส.ค. 2568 | 05:20 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ส.ค. 2568 | 05:42 น.

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ โพสต์แรง! ชำแหละ 10 โครงสร้างอำนาจลึกที่ฝังรากในรัฐไทย ตั้งแต่ทุนผูกขาดจนถึงการเมืองไร้คุณธรรม พร้อมชี้ทางรอดเดียวคือ “เปลี่ยนผ่านสู่รัฐบนฐานคุณธรรม” เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ผู้นำระดับโลกอย่างแท้จริง

ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง (เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 

“รัฐไทยใต้เงาอำนาจลึก: ถอด 10 หน้ากาก Deep State”จากรัฐที่ล้มเหลว สู่รัฐที่น่าเชื่อถือในเวทีโลก ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่าง “ความเสื่อมถอยแบบช้า ๆ” กับ “การเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์” ใจความสำคัญระบุว่า

ภาวะ “โลกป่วน – ไทยป่วย” ไม่ใช่แค่วิกฤตชั่วคราว หากแต่คือ “โอกาสครั้งสำคัญ” ในการกำหนดอนาคตของประเทศใหม่ในเวทีโลกได้สิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องทำให้ได้ คือ การเปลี่ยนผ่านจาก Deep-State สู่ Principled State

  • ไทยป่วยหนัก อำนาจมืดครอบงำ ลึกเกินเยียวยา

ประเทศไทยในปี 2025 อาจไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร ปัญญา หรือพลังคนรุ่นใหม่ แต่เรากำลังป่วยหนัก จาก “อาการเรื้อรัง” ที่ไม่เคยรักษาให้หาย

อาการนั้นคือ สิ่งที่เรียกว่า “Deep State” หรือโครงสร้างอำนาจลึกที่ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ แต่มีอำนาจจริงเหนือการเมือง เหนือประชาชน เหนืออนาคต

Deep State คืออะไร?

Deep State ไม่ใช่แค่ “รัฐซ้อนรัฐ” แต่คือ “เครือข่ายอำนาจนอกระบบ” ที่ฝังรากอยู่ในทุกมิติของสังคมไทย ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย วัฒนธรรม และสื่อ มันไม่ได้ใช้อาวุธ แต่มันใช้ “โครงสร้าง + วาทกรรม + เงิน + อุปถัมภ์” เพื่อบิดเบือน / ปิดกั้นการเปลี่ยนแปลง

Deep State ไม่จำเป็นต้องแสดงความชั่วร้ายอย่างโจ่งแจ้ง แต่สามารถทำให้โครงสร้างทั้งระบบ หยุดนิ่ง ล้าหลัง ถดถอย และยังบั่นทอนคนดี-คนเก่ง จนต้องถอยหนีจากสนามแห่งการเปลี่ยนแปลง

“10 หน้ากากอำนาจลึก” ต้นเหตุ “ไทยป่วย”

1.วัฒนธรรมแห่งอภิสิทธิ์ชน (Culture of Elitism/ Privilege)

• วัฒนธรรมที่ปลูกฝังความเชื่อว่า “คนบางกลุ่มอยู่เหนือกฎหมาย”

• ขัดขวาง Meritocracy และตัดโอกาสคนรุ่นใหม่จำนวนมากจากการมีส่วนร่วม

 

2.ทุนนิยมพวกพ้อง (Crony Capitalism)

• ทุนผูกขาดที่เติบโตจากการอิงอำนาจ ไม่ใช่แข่งขันเสรี

• ทำให้เศรษฐกิจไทยไร้พลวัต คนตัวเล็กถูกบีบ คนตัวใหญ่ไม่ต้องแข่งขัน

• การปฏิรูปเศรษฐกิจจึงมักสะดุด เพราะชนชั้นทุนผูกขาดไม่เอาด้วย

 

3.เศรษฐกิจสีเทา-ใต้ดิน (Grey & Underground Economy)

• เครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายที่เชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐและอำนาจท้องถิ่น

• ตัวอย่างเช่น การพนัน ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด ค้ามนุษย์ เงินกู้เถื่อน

• ระบบนี้ทำเงินมหาศาล แต่กัดกินสังคม และสร้าง “เจ้าพ่อ” แทน “เจ้าหน้าที่รัฐ”

 

4.ธนาธิปไตย (Money Politics)

• อำนาจที่ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน แต่มาจากเงิน

• การซื้อเสียง แจกกล้วย ซื้องูเห่า การประมูลตำแหน่ง การแจกเงินหัวคะแนน —> ทำให้ประชาธิปไตยไทยกลายพันธุ์

• นักการเมืองที่ซื้ออำนาจ ย่อมต้อง “ถอนทุนคืน” ด้วยนโยบายที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ชาติและประชาชน

 

5.อิทธิพลท้องถิ่น (Local Godfathers)

• การเมืองท้องถิ่นบางพื้นที่กลายเป็นระบบ “มาเฟียผู้มีอิทธิพลแบบนุ่มนวล”

• ผูกขาดทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และอำนาจปกครอง

• ใช้อุปถัมภ์แทนนโยบาย ใช้ความกลัวแทนกฎหมาย

 

6.ระบบราชการฝังลึก (Bureaucratic Entrenchment)

• ระบบราชการไทยบางส่วนที่ “ไม่ยอมเปลี่ยน” แม้รัฐจะเปลี่ยน

• ระบบรวมศูนย์ การต้านการตรวจสอบ การแต่งตั้งแบบมีเส้นสาย

• บทบาทของกองทัพที่ไม่ใช่เพียงความมั่นคงภายนอก แต่กลายเป็น “ผู้เล่นทางการเมือง”

• กลายเป็น “ปราการ” ต้านทานกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย และการบริหารสมัยใหม่

 

7.การยึดกฎหมายเป็นเครื่องมือ (Legal Capture)

• องค์กรอิสระที่ไม่อิสระ บางช่วงบางขณะ ถูกมองว่าเป็น “ตัวแทนของอำนาจ” แทนที่จะเป็นตัวแทนของความยุติธรรม มีประเด็นเรื่องของ “นิติสงคราม”

• ระบบกฎหมายสองมาตรฐาน ใช้กฎหมายกับฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ใช้กับฝ่ายตนเอง หรือใช้ “การตีความ” เพื่อรักษาโครงสร้างเดิม

• ส่งผลให้สังคมหมดศรัทธาต่อ Rule of Law และความยุติธรรม

 

8.วัฒนธรรมจารีตนิยมแบบบิดเบี้ยว (Distorted Traditionalism)

• มายาคติที่บิดเบือน เช่น “ผู้น้อยอย่าคิดกับผู้ใหญ่” “คนดีต้องไม่ขัดขืน”

• หล่อหลอมคนไทยให้ไม่กล้าวิพากษ์ ไม่กล้าคิด ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง

• Deep State ซ่อนตัวในวัฒนธรรมที่ปลูกฝัง “ความกลัว” มากกว่า “ความกล้า”

 

9.การควบคุมสื่อและข้อมูล (Information Control)

• อำนาจเบื้องหลังที่คุมทิศทางข่าวสาร

• ทำให้คนไม่เห็นปัญหา ไม่เข้าใจรากของความเหลื่อมล้ำ

• เมื่อสังคมเข้าใจผิด ก็จะไม่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

10.โครงสร้างประชาธิปไตยเทียม (Pseudo-Democracy Infrastructure)

• รัฐธรรมนูญที่ออกแบบให้ผู้มีอำนาจสืบทอดตัวเอง

• พรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

• กลไกเลือกตั้งที่ดูเหมือนเป็นกลาง แต่มีผลลัพธ์ที่ไม่เปลี่ยนอะไรเลย

เมื่อ 10 หน้ากากอำนาจลึกรวมตัวกัน ประเทศไทยจึงกลายเป็น “รัฐที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง“ เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมือง แต่ผู้ที่มีอำนาจจริง ไม่เคยต้องลงเลือกตั้ง ผู้ที่ได้ประโยชน์ไม่เคยถูกตรวจสอบ และผู้ที่ถูกตัดสินใจแทน คือคนส่วนใหญ่ของประเทศ

 

Deep state ส่งผลกระทบต่อภูมิยุทธศาสตร์ของไทยในเวทีโลก ?

Deep State ส่งผลกระทบต่อภูมิยุทธศาสตร์ของไทยในเวทีโลกอย่างลึกซึ้ง และบ่อนทำลายศักยภาพของประเทศในระยะยาว เพราะเมื่อ Deep State ขวางกั้นการปฏิรูปภายใน ก็ย่อมทำให้ประเทศไทยไม่สามารถปรับตัวอย่างมีวิสัยทัศน์ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างเท่าทัน
 

1.ทำให้ไทยไร้จุดยืนระหว่างมหาอำนาจ

Deep State ในไทยมักยึดแนวคิด “รักษาอำนาจ” มากกว่า “ใช้เวทีโลกเพื่อยกระดับประเทศ”

• กลัวการเปลี่ยนแปลงจากประชาธิปไตยเสรี → ไม่กล้าเทใจให้พันธมิตรตะวันตก

• กลัวการเสียอำนาจภายใน → เปิดช่องต่อรองกับจีนหรือรัสเซียแบบไม่มีหลักการ

ผลลัพธ์ : ไทยไม่สามารถมี “ยุทธศาสตร์อิสระ” ได้จริง แต่กลายเป็นรัฐที่ต้องพึ่งพาหรือประนีประนอมแบบไร้ศักดิ์ศรี

 

2.ทำลายความน่าเชื่อถือของไทยในฐานะผู้นำอาเซียน

• อาเซียนต้องการผู้นำที่มีความชอบธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ

• แต่รัฐไทยที่อยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจลึก มักมีวิสัยทัศน์จำกัด และมุ่งรักษา Status Quo

ไทยจึงไม่สามารถขับเคลื่อน ASEAN Collective Hedging หรือเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกได้อย่างมีน้ำหนัก

 

3.ปิดกั้นการทูตเชิงคุณค่า (Value-Based Diplomacy)

• โลกยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ธรรมาภิบาล และความโปร่งใส

• รัฐที่ Deep State ครอบงำไม่สามารถเล่นบทนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือ

ไทยจึงเสียโอกาสในการเข้าร่วมแนวร่วมโลกเสรีประชาธิปไตย เช่น CPTPP, IPEF หรือความร่วมมือด้าน Digital Rights

 

4.ลดทอน Soft Power และภาพลักษณ์ในเวทีโลก

• Deep State ทำให้เกิดภาพลักษณ์รัฐอำนาจนิยม มีคดีละเมิดสิทธิและเสรีภาพ

• นานาประเทศมองไทยว่า “ถอยหลัง” และ “คาดเดาไม่ได้”

ส่งผลให้ขาดการสนับสนุนทางการเมือง การลงทุนระหว่างประเทศ และการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก

 

5.ทำให้ไทยไม่มี Grand Strategy ที่แท้จริง

• Deep State สนใจเพียง “ความมั่นคงของกลุ่มตนเอง” มากกว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ”

• จึงไม่สามารถสร้าง Thailand First with Global Responsibility หรือ ภูมิยุทธศาสตร์บนฐานคุณธรรม (Principled Geopolitics)

ไทยกลายเป็นผู้ตามในภูมิภาค มากกว่าจะเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ของตนเอง

 

เปลี่ยนผ่านจาก Deep State สู่ Principled State

เมื่อ Deep State คือ “อำนาจที่ขาดความชอบธรรม” Principled State คือ “รัฐที่มีคุณธรรมเป็นฐานอำนาจ”

Principled State หรือ “รัฐบนฐานคุณธรรม” คือรัฐที่:

• มี “ความชอบธรรม” (Legitimacy) จากประชาชน

• บริหารด้วย “หลักการ” (Principle) ไม่ใช่ด้วยเครือข่ายพวกพ้อง

• ยึด Rule of Law, Accountability, Human Dignity และ Sustainability

• ใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่เพื่อ Surveillance หรือควบคุม

ตัวอย่างของ Principled State:

• เกาหลีใต้: เคยติดกับดัก Deep State แต่สามารถปฏิรูปได้ด้วยพลังภาคประชาชน

• ไต้หวัน: ใช้ Civic Tech และนวัตกรรมทางการเมืองสร้างรัฐแบบมีส่วนร่วม

• ฟินแลนด์ สวีเดน: โปร่งใส ตรวจสอบได้ รัฐสวัสดิการครอบคลุม ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

• นิวซีแลนด์: นโยบายเปิดเผย ระบบการเมืองสะอาด ปราศจากทุนผูกขาดหรืออิทธิพลใต้โต๊ะ

• สวิตเซอร์แลนด์: มีระบบประชาธิปไตยทางตรงที่ตรวจสอบได้ และเคารพฉันทามติของประชาชน

ประเทศตัวอย่างของ Deep State:

• กัมพูชา: กลไกรัฐถูกควบคุมโดยกลุ่มอำนาจส่วนบุคคลและตระกูล มีระบอบทุนนิยมพวกพ้องชัดเจน การเลือกตั้งถูกจัดการโดยอำนาจรัฐ เศรษฐกิจสีเทา–ใต้ดินเชื่อมโยงกับกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง

• เมียนมา: กองทัพถือครองอำนาจทุกระดับและปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน

• รัสเซีย: โครงสร้างอำนาจผูกขาดโดยกลุ่มใกล้ชิดผู้นำ มีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุม

• อิหร่าน: ระบบอำนาจศาสนาและทหารแทรกแซงรัฐพลเรือนตลอดเวลา

ถ้าไม่เปลี่ยนผ่านจาก Deep State สู่ Principled State

ประเทศไทยจะเข้าสู่ “ภาวะป่วยเรื้อรัง” (Chronic Decline) อย่างน้อย 5 มิติ:

1. การเมืองไร้เสถียรภาพ → รัฐบาลมาจากกลไกบิดเบี้ยว ประชาชนไม่เชื่อถือ

2. เศรษฐกิจไร้พลวัต → นวัตกรรมเติบโตไม่ได้ ทุนใหม่ถูกปิดกั้น

3. คนดีไม่อยากลงสนาม → วงจรคนมีศักยภาพไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลง

4. สูญเสียความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ → นักลงทุนไม่มั่นใจ สิทธิมนุษยชนเสื่อมถอย

5. ปัญญาชน/เยาวชนสิ้นศรัทธา → เกิดภาวะ “หมดไฟทางสังคม” ในคนรุ่นใหม่

ถ้าเปลี่ยนผ่านได้สู่ Principled State

1. สร้างระบบที่ยึดหลักนิติธรรมและคุณธรรมจริง

2. อำนาจรัฐถูกตรวจสอบ โปร่งใส และ Accountable

3. ทุนดี คนดี คนรุ่นใหม่ มีที่ยืนในระบบ

4. นโยบายยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่กลุ่มอำนาจ

5. เปลี่ยนจาก “รัฐอภิสิทธิ์” เป็น “รัฐแห่งความเสมอภาค”

ถ้าเราทำได้ จะเกิดการยกระดับ “ภูมิยุทธศาสตร์ไทย” อย่างไม่เคยมีมาก่อน

1.ฟื้นคืน “อำนาจอธิปไตยที่แท้จริง” (Sovereignty with Integrity)

รัฐที่หลุดพ้นจากการครอบงำของเครือข่ายทุน-ทหาร-ราชการ จะสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ต่างประเทศได้อย่างมั่นคงและอิสระ

• ไทยจะไม่ตกเป็นเครื่องมือหรือสมรภูมิของการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ (จีน-สหรัฐ)

• สามารถยืนหยัดบนผลประโยชน์ประชาชน แทนผลประโยชน์กลุ่ม

• กลายเป็นประเทศนำในนโยบาย “ASEAN Collective Hedging” อย่างชาญฉลาด

2.เปลี่ยนจาก “ภูมิรัฐศาสตร์แบบตั้งรับ” เป็น “ภูมิรัฐศาสตร์เชิงรุก”

การปลดล็อกกลไกรัฐพันลึก จะเปิดทางให้ประเทศไทยเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในประเด็นใหม่:

• “Techno-Moral Diplomacy” เช่น มาตรฐาน AI ที่มีจริยธรรม, Green Supply Chain, Digital Justice

• Soft Power ที่ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็น “พลังแห่งคุณธรรม” เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความร่วมมือเยาวชน การกำหนดอนาคตภูมิภาค/ โลก ร่วมกัน

3.ลดความเปราะบางจากความขัดแย้งในภูมิภาค

กรณีพิพาทระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา หรือเขตชายแดนอื่น ๆ มักมีรากมาจาก

• เครือข่ายอำนาจลับที่แสวงประโยชน์จากสัมปทาน/การค้าเถื่อน/ทรัพยากร

• การดำเนินนโยบายที่ขาดความโปร่งใสและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน

การรื้อถอนโครงสร้างลับเหล่านี้จะทำให้:

• ไทยเจรจาโดยใช้ธรรมาภิบาล ไม่ใช่อิทธิพล

• เกิดความร่วมมือแบบ Principled Progress Paradigm (PPP) Diplomacy ในพื้นที่ชายแดน

• สกัดกั้นการเติบโตของขบวนการใต้ดินที่ใช้ “ช่องโหว่รัฐ” เป็นที่พึ่ง

4.ดึงดูดทุน–เทคโนโลยี–นวัตกรรมระดับโลก

นักลงทุนและพันธมิตรระหว่างประเทศกำลังมองหา:

• ประเทศที่ Rule of Law แข็งแรง ไม่ถูกครอบงำโดยทุนผูกขาด

• รัฐบาลที่ไม่เปลี่ยนทิศทางตามผลประโยชน์กลุ่ม

• ระบบนิเวศนวัตกรรมที่มีจริยธรรม + มั่นคงในระยะยาว

การเปลี่ยนผ่านสู่ Principled State จะส่งสัญญาณชัดเจนว่า:

• ไทยคือ ประเทศที่ลงทุนได้

• ไทยคือ ศูนย์กลางของ Techno-Moral Innovation/Startups

• ไทยคือ หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระยะยาว

5.ปลดล็อกศักยภาพของคนไทยทั่วประเทศ

เมื่อการเมืองแบบอภิสิทธิ์ชนถูกรื้อถอน จะเกิดคลื่นผู้นำรุ่นใหม่ในทุกระดับ:

• ราชการจะมีนักปฏิรูปจริง

• ธุรกิจจะมีผู้ประกอบการที่ไม่ต้องพึ่ง Privilege

• คนรุ่นใหม่จะมีเวทีผ่าน Startup, Civic Tech, Social Enterprise, Youth in Charge ฯลฯ

“Deep-State May Protect Power, But Can’t Protect the Future.…Only Principled State Can"