เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2568 เล่ม 142 ตอนที่ 50 ก โดย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศ ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568
พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ออกตามอำนาจมาตรา 175 และมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 261 ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีเป้าหมายเพื่อแสดงพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ และเปิดโอกาสให้กลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี
เงื่อนไขพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ
ผู้ต้องราชทัณฑ์ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ต้องอยู่ในการควบคุมของราชการ ณ วันที่กฎหมายมีผลบังคับ และต่อเนื่องจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ ยกเว้นผู้ทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ
นักโทษเด็ดขาดที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของกำหนดโทษ หรืออย่างน้อย 8 ปี แล้วแต่ระยะเวลาใดเป็นคุณ
กลุ่มที่จะได้รับการปล่อยตัวทันที ได้แก่
ผู้ต้องกักขัง
ผู้ทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ
ผู้ต้องโทษที่เหลือจำคุกไม่เกิน 1 ปี
ผู้พิการ เช่น ตาบอดทั้งสองข้าง มือหรือเท้าด้วนทั้งสองข้าง หรือผู้ทุพพลภาพที่แพทย์ราชการรับรอง
ผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น อัมพาต สมองเสื่อม สมองพิการ จิตเวชขั้นรุนแรง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ตับวาย ไตวาย มะเร็ง เอดส์ โลหิตจางขั้นรุนแรง หรือผู้ติดเตียง
ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ จะได้รับการลดโทษลง 1 ใน 3 จากโทษที่เหลือ เว้นแต่เข้าลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด จึงจะปล่อยตัวได้
เหตุผลในการตราพระราชกฤษฎีกา
หมายเหตุท้ายประกาศระบุว่า เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 จึงสมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อเปิดโอกาสให้กลับตัวเป็นพลเมืองดี เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป
คลิกดูเพิ่มเติมจากราชกิจจานุบเบกษา
ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกมาเปิดเผยว่า ผู้ต้องขังทั่วประเทศที่เข้าเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ เบื้องต้นมีประมาณกว่า 10,000 ราย แต่เมื่อตรวจสอบโดยละเอียด คาดว่าจำนวนผู้ได้รับประโยชน์จะสูงถึงกว่า 80,000 ราย