ในยุคปัจจุบันที่การทำงานเป็นส่วนสำคัญของชีวิตหลายๆ คน การค้นหาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งขึ้นไปอีก การศึกษาจากบริษัท Randstad ซึ่งเป็นบริษัทจัดหางานอันดับสองของโลก ได้เผยข้อมูลจากการสำรวจถึงพฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Gen Y ซึ่งผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่าเกือบครึ่งหนึ่งของคนในกลุ่มนี้ยินดีที่จะว่างงานมากกว่าต้องทำงานที่ไม่สร้างความสุขให้กับชีวิต
การศึกษา Workmonitor Global ที่ดำเนินการในตลาดอาชีพ 34 แห่งทั่วโลก ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนกว่า 35,000 คน พบว่า คนรุ่นใหม่หลายคนให้ความสำคัญกับการรักษาความสุขในชีวิตมากกว่าการมีงานทำที่ไม่ตอบสนองความต้องการส่วนตัว โดยผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนเจน Y และเจน Z ยอมทิ้งงานถ้าทำให้ชีวิตของพวกเขาไม่มีความสุข
เมื่อสำรวจเกี่ยวกับลำดับความสำคัญในการทำงาน พบว่า ความสุขและไลฟ์สไตล์เป็นสิ่งที่คนเจน Y และเจน Z ให้ความสำคัญอันดับแรก โดยทั้งสองกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความสุขในชีวิตมากกว่าการมีอาชีพที่มั่นคง หากต้องเลือกระหว่างการทำงานที่ไม่ชอบหรือการออกจากงาน พวกเขายินดีที่จะออกจากงานหากงานนั้นรบกวนชีวิตส่วนตัวเกินไป โดย 56% ของคนเจน Z (อายุ 18-24 ปี) และ 55% ของคนเจน Y (อายุ 25-34 ปี) มีความคิดเช่นนี้
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่คือค่านิยมขององค์กร จากผลการศึกษาพบว่า 43% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า พวกเขาจะไม่เลือกทำงานกับบริษัทที่มีค่านิยมทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่ตรงกับตัวเอง นอกจากนี้ 41% ยังกังวลกับการเลือกสถานที่ทำงานที่ไม่ได้ส่งเสริมความหลากหลาย หรือไม่สนับสนุนการไม่แบ่งแยกทางสังคม
แม้ว่าความสำคัญของการมีความสุขในการทำงานจะเป็นอันดับหนึ่ง แต่การจูงใจในรูปแบบของสิ่งจูงใจและผลประโยชน์ก็ยังมีความสำคัญไม่แพ้กัน รวมไปถึงความยืดหยุ่นในการทำงานในด้านสถานที่และเวลา ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดพนักงานยุคใหม่ที่ต้องการสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว
อีกสิ่งที่ผลการศึกษาชี้ให้เห็นคือ 2 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า พวกเขาไม่รังเกียจที่จะรับเงินเดือนที่น้อยกว่า หากงานนั้นสามารถตอบโจทย์ในการทำเพื่อสังคมได้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างคุณค่าให้กับสังคมและไม่ยอมประนีประนอมกับค่านิยมส่วนบุคคล
การศึกษานี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจในการจ้างงานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของการที่คนรุ่นใหม่กำลังมีอำนาจมากขึ้นในการเลือกงานและนายจ้าง ซึ่งมีแรงกดดันจากพนักงานมากขึ้นที่นายจ้างต้องพิจารณาค่านิยมและความต้องการของพนักงานให้มากขึ้น เพื่อจะรักษาลูกจ้างเอาไว้ นั่นหมายความว่าเจ้าของธุรกิจต้องเริ่มพิจารณาใหม่เกี่ยวกับวิธีการรักษาพนักงานและการดึงดูดคนเก่งเข้ามาร่วมงาน
อ้างอิง: businessinsider