ผลพวงจากปมข้อพิพาทแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืนจังหวัดอุบลราชธานี จากการรุกล้ำเขตแดนไทย จนนำไปสู่มาตรการปิด-เปิดด่านพรมแดน ทั้ง 7 จังหวัด ในภาพรวมมองว่าสถานการณ์ยังคงไม่น่าไว้วางใจ
ล่าสุดฝั่งกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ ไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ และฝ่ายไทยยังคงใช้มาตรการเข้ม และพร้อมยกระดับขั้นสุด ปิดจุดผ่านแดนถาวร
ต่อเรื่องนี้นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ปัญหาการกระทบกระทั่งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ที่เกิดขึ้นขณะนี้ประเมินว่าน่าจะมีผลระยะสั้นไม่ถึงขั้นปิดด่านถาวรไปจนถึงสงครามการสู้รบ ซึ่งหากถึงจุดนั้นจะเกิดวิกฤตส่งกลับแรงงานกัมพูชา กลับประเทศ ซึ่งจะมีผลต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
ในทางกลับกัน ปัจุบัน แรงงานกัมพูชายังทำงานได้ต่อ หาก ใบอนุญาตการทำงานและหนังสือเดินทางไม่หมดอายุ แต่หากทั้งสองอย่างหรืออย่างหนึ่งหมดอายุลง เกรงว่า จะไม่ได้รับการต่ออายุ และไม่มีการรับใหม่ ซึ่งทำให้ ปัญหาแรงงานที่เคยขาดแคลนอยู่แล้ว จะมีปัญหามากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องหาแรงงานใหม่เพิ่มเติม
สำหรับภาพรวมแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย จำนวนเกือบ1ล้านคน แบ่งเป็นภาคก่อสร้างจำนวน2แสนคน ที่เหลือเป็นภาคบริการ และอุตสาหกรรมอื่นๆ
“ปัญหาแรงงานกระทบมากสุด ผมไม่รู้ว่าจะผลักดันแรงงานออกนอกประเทศหรือไม่แต่รับใหม่ไม่มี หลักๆ ภาคแรงานขาดแคลน คนที่มีอยู่ เกือบ1 ล้านคนภาคก่อสร้าง 2 แสนคน และนับวันจะน้อยลง เพราะไม่มีงาน โดยภาคตะวันออกจะกระทบมากกว่าเพราะส่วนใหญ่เป็น แรงงานที่มาจากกัมพูชา ส่วนกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคตะวันตก เหนือ ใต้จะเป็นเมียนมา ลึกๆ แล้วภาคก่อสร้างกังวลแรงงานชอร์ต อยู่ๆ ให้แรงงานกัมพูชากลับบ้าน และห้ามรับใหม่ ทางออกก็จะหาแรงงานเมียนมาทดแทน “
อย่างไรก็ตามแรงงานกัมพูชามีสกิวที่ดีสามารถยกระดับงานเชื่อมเหล็ก งานเสี่ยงภัยทำเสาเข็ม ฯลฯ ส่วนผู้รับเหมาเข้าไปรับงานก่อสร้าง รวมถึงลงทุนโครงการในกัมพูชา มีค่อนข้างน้อย จึงไม่มีผลกระทบมากนักนอกจากนี้ ไทยยังเกินดุลการค้าจากกัมพูชา ซึ่งหากมีการปิดด่านจะมีผลกระทบน้อยกว่าเพราะไทยสามารถค้าขายกับประเทศอื่นๆได้