ขณะที่ Gig Economy กำลังเฟื่องฟูและกลายเป็นโครงสร้างสำคัญในตลาดแรงงานโลก กลับไม่มีสูตรสำเร็จในการรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนของมันอย่างครอบคลุม จุดตัดระหว่างนวัตกรรม เทคโนโลยี และศักดิ์ศรีความเป็นแรงงานกำลังเป็นหัวใจสำคัญในการประชุมแรงงานระหว่างประเทศของ ILO ครั้งที่ 113 ซึ่งบรรดาภาครัฐและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกต่างกำลังพยายามหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโต กับการคุ้มครองแรงงานให้มีความเป็นธรรม
การเติบโตของแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น แอปฯ เรียกรถ ส่งอาหาร หรือเว็บไซต์รับจ้างงานอิสระ ช่วยเปิดทางให้ผู้คนจำนวนมากหารายได้เสริมจากงานแบบอิสระ ไม่ว่าจะเป็นแบบพาร์ตไทม์หรือเต็มเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าครองชีพเพิ่มสูง เช่น กรณีในมาเลเซียที่แรงงานกิ๊กกว่า 70% ทำเป็นอาชีพเสริม ขณะที่ในสหรัฐฯ มีผลสำรวจที่ชี้ว่าแรงงานกว่า 1 ใน 3 มองว่า "ต้องมีงานเสริมไปตลอดชีวิต" จึงจะอยู่รอด และคาดว่าจะมีคนอเมริกันอีก 26 ล้านคนเข้าสู่เศรษฐกิจงานเสริมภายในปี 2027
แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจแพลตฟอร์มนี้เอง กลับก่อให้เกิดคำถามสำคัญ: งานในโลกดิจิทัลยุคนี้ “เป็นธรรม” หรือไม่?
รายงาน Future of Jobs 2025 โดย World Economic Forum ระบุว่า 86% ของนายจ้างเชื่อว่า AI จะเข้ามาปฏิรูปธุรกิจภายในปี 2030 ซึ่งหมายถึงว่าแรงงานจำนวนมากจะต้องเผชิญกับระบบอัลกอริธึมที่กำหนดงาน จัดสรรค่าตอบแทน หรือแม้แต่สื่อสารแทนคนได้อย่างสมบูรณ์ ระบบ AI แบบนี้เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในหลายแพลตฟอร์ม แต่กลับไม่มีความโปร่งใส เช่น กรณีในสหราชอาณาจักรที่มีรายงานจาก The Guardian ระบุว่าแพลตฟอร์มส่งอาหารกำลังถูกกดดันให้เปิดเผย “อัลกอริธึมกล่องดำ” ที่ไม่มีใครรู้ว่าใช้เกณฑ์ใดในการจัดสรรงานหรือรายได้ ซึ่งนักเคลื่อนไหวบางรายถึงกับระบุว่า “มันคือการทำให้การเอารัดเอาเปรียบกลายเป็นอัตโนมัติ”
นี่คือสัญญาณว่า ถ้าไม่มีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม อัลกอริธึมอาจกลายเป็นตัวสร้างความเหลื่อมล้ำ การเลือกปฏิบัติ หรือแม้กระทั่งการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างถาวรในระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์มยุคใหม่
แม้จะมีความหวังว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยลดช่องว่างการมีงานทำระหว่างเพศ แต่รายงาน Global Gender Gap Report 2024 กลับเตือนว่าความก้าวหน้าในด้านนี้ยังเปราะบาง โดยเฉพาะในประเทศรายได้น้อยที่ผู้หญิงยังเผชิญอุปสรรคจำนวนมาก
ข้อมูลชี้ว่า ช่องว่างรายได้ระหว่างเพศในเศรษฐกิจแพลตฟอร์มนั้นสูงถึง 30% ซึ่งมากกว่าตลาดงานแบบดั้งเดิมที่อยู่ที่ 20% ปัจจัยที่ทำให้เกิดช่องว่างนี้ ได้แก่ ความต่างด้านวุฒิการศึกษา ประเภทงานที่เลือก ความคาดหวังด้านค่าจ้าง รวมถึงภาระงานดูแลครอบครัวที่ยังตกอยู่กับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่
แม้งานแบบกิ๊กจะดูเปิดกว้างให้ผู้หญิงสามารถจัดการเวลาควบคู่กับการดูแลครอบครัวได้ดีขึ้น แต่กลับไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เช่น กรณีในเม็กซิโกซิตี้ที่ผู้หญิงให้ข้อมูลว่า ปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉินในแอปฯ หลายตัวใช้งานไม่ได้จริง ขณะที่ในอินเดีย แรงงานหญิงที่ให้บริการตามบ้านสะท้อนว่า แพลตฟอร์มที่เคยสัญญาว่าจะให้อิสระกลับสร้างภาระใหม่ ทั้งค่าลงทะเบียนสูง ระบบเรตติ้งที่กดดัน และข้อกำหนดให้พร้อมทำงานตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ชี้ชัดว่า อนาคตของเศรษฐกิจแพลตฟอร์มไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ "คุณค่าที่เราใส่ลงไป" ด้วย
นอกจากประเด็นเรื่องแพลตฟอร์มกับ AI แล้ว ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลกยังซ้ำเติมสถานการณ์ตลาดแรงงานอย่างเห็นได้ชัด องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) คาดการณ์ว่าจำนวนงานใหม่ในปีนี้จะน้อยกว่าที่ประเมินไว้เดิมถึง 7 ล้านตำแหน่ง โดยปัจจัยหลักมาจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีที่ไม่แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น มีงานกว่า 84 ล้านตำแหน่งใน 71 ประเทศ ที่ "ผูกโยงโดยตรงหรือทางอ้อมกับการบริโภคของชาวอเมริกัน" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของตลาดแรงงานโลกที่ยังคงพึ่งพาเศรษฐกิจมหภาคมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่รายได้และการจ้างงานจำนวนไม่น้อยขึ้นอยู่กับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีและภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ความเชื่อมโยงนี้ทำให้แรงงานในหลายประเทศต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่ได้มาจากปัจจัยภายในประเทศตนเองเพียงอย่างเดียว แต่กลับได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของประเทศมหาอำนาจ เช่น มาตรการกีดกันทางการค้า หรือการขึ้นภาษีนำเข้าแบบฉับพลัน ซึ่งสามารถทำให้โรงงานต้องปิดตัว ลดกำลังผลิต หรือแม้กระทั่งย้ายฐานการผลิตไปยังที่อื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า
ไม่เพียงแค่นั้น สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงยังกลายเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงซ้อนที่ส่งผลต่อความมั่นคงของแรงงานโลก เช่น ภัยแล้งที่กระทบผลผลิตภาคเกษตร น้ำท่วมที่ทำให้แรงงานนอกระบบต้องหยุดงาน หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมการผลิต ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของ "งาน" ในโลกยุคใหม่ ที่ไม่ได้ถูกกำหนดแค่โดยตลาด แต่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากหลายปัจจัยพร้อมกัน
ดังนั้น อนาคตของแรงงานโลกจึงไม่สามารถพึ่งพาเพียงนโยบายด้านดิจิทัลหรือการพัฒนาเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมี "นโยบายแบบองค์รวม" ที่รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตลาดแรงงานจากปัจจัยภายนอก การลงทุนในระบบสวัสดิการที่ยืดหยุ่น และการเสริมทักษะให้แรงงานสามารถปรับตัวได้ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หากเราไม่เริ่มออกแบบระบบแรงงานใหม่ตั้งแต่วันนี้ คำว่า “อนาคตของการทำงาน” อาจกลายเป็นภาพฝันที่ห่างไกลจากความเป็นจริงยิ่งกว่าเดิม