วิกฤตสิ่งแวดล้อมโลก หลากเสียงเตือนจากธรรมชาติ "ที่ถูกเพิกเฉย"

04 มิ.ย. 2568 | 11:10 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มิ.ย. 2568 | 11:26 น.

“วันสิ่งแวดล้อมโลก” (World Environment Day) 5 มิถุนายน ของทุกปี ถือเป็นวันแห่งการระลึกถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตทุกสรรพสิ่ง

มีกิจกรรมรณรงค์เกิดขึ้นมากมาย คำขวัญปลุกใจถูกเผยแพร่ผ่านทุกช่องทางสื่อ กระทรวง ทบวง กรม และองค์กรท้องถิ่นต่างเร่งจัดกิจกรรม “สีเขียว” เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์

ทว่า ท่ามกลางการเฉลิมฉลองเหล่านั้น มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมมาทุกปี คือ “ความเงียบ” ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงโครงสร้างที่กำลังสะสมเรื้อรัง และขยายวงกว้างอย่างซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน

วันนี้ยังคงปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ที่ทั่วโลกกำลังจับตา นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ปัญหามลพิษทางอากาศ ขยะพลาสติกและมลพิษทางทะเล รวมถึงวิกฤตน้ำและการขาดแคลนน้ำสะอาด

ขณะยังมีปัญหาล่าสุด การวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่าว่ามหาสมุทรมากกว่า 20% ของโลก กำลังมืดลงภายใน 20 ปีที่ผ่านมา โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “มหาสมุทรมืดลง” (Ocean Darkening) จากภาวะความใสของน้ำทะเลลดลง เหตุจากตะกอน สารอินทรีย์ และมลพิษจากกิจกรรมบนบกไหลลงสู่ทะเลมากขึ้น แสงแดดจึงไม่สามารถส่องลึกลงในใต้น้ำ ส่งผลกระทบต่อการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งเป็นฐานของห่วงโซ่อาหารทะเล

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขยะทะเล ที่แม้จะมีการรณรงค์ลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวมากว่า 10 ปี แต่ขยะทะเลยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัตว์ทะเลจำนวนมากกลืนกินขยะเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นอาหาร ปลาบางชนิดเมื่อผ่าท้องพบพลาสติกเต็มกระเพาะ เต่าทะเลติดแห และวาฬตายเกยตื้นพร้อมเศษพลาสติกนับร้อยชิ้นในกระเพาะอาหาร นี่คือผลสะท้อนของระบบจัดการขยะที่ “เน้นปลายทาง” แต่ไม่ควบคุมที่ต้นทาง และยังไม่มีการจัดเก็บขยะชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการลักลอบทิ้งของเสียอุตสาหกรรมในระดับที่น่าวิตก ทั้งกรณีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเตรียมเพิกถอนใบอนุญาตและดำเนินคดีผู้ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในพื้นที่ชลบุรี หรือที่อยุธยาตรวจพบการลักลอบขนส่งของเสียอันตรายและฝ่าฝืนเงื่อนไขการประกอบกิจการหลายข้อหา รวมถึงที่ฉะเชิงเทรามีการตรวจพบโกดังที่ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมหลายหมื่นตัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น กากเหล่านี้มีสารโลหะหนัก เช่น แคดเมียม ปรอท และตะกั่ว ที่สามารถซึมลึกลงในดินและน้ำใต้ดิน และจะคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายสิบปี ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศเกษตรกรรมโดยรอบ รวมถึงสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง

ขณะที่ กรณีล่าสุดกับการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือของไทย ที่ต้องกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง สาเหตุหลักมาจากการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว โดยมีต้นตอจากการทำเหมืองแร่ทองคำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา จนถึงวันนี้สารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ก็ยังคงเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงฝายเชียงราย ทางการต้องออกประกาศให้ประชาชนงดกิจกรรมทางน้ำที่มีการสัมผัสกับน้ำโดยตรงในจุดที่ยังพบการปนเปื้อน

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่พบในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ภาพปลาน็อกน้ำตายยกกระชังเลี้ยง กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งอีกครั้ง สาเหตุหลักมาจากปริมาณน้ำเพิ่มสูง ไหลเชี่ยว ขุ่นแดง และมีตะกอนจำนวนมาก จนออกซิเจนในน้ำลดลง สร้างสถิติใหม่ที่พบปลาตายมากที่สุดในรอบ 10 ปี และที่น่าเศร้าคือ ไม่มีความช่วยเหลือจากภาครัฐ แม้จะมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ แต่ก็ “ดูแล้วหายเงียบ” เช่นทุกปี

ปัญหาสิ่งแวดล้อมไทยในวันนี้ ไม่ได้เกิดเพราะขาดความรู้ หรือเทคโนโลยี แต่เพราะขาดการจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหา ประชาชนไม่ต้องการคำขวัญ แต่ต้องการระบบจัดการของเสียที่เข้มงวด ระบบเตือนภัยน้ำเสียที่แม่นยำ และหน่วยงานที่ “ไม่หายตัวหลังดูงานจบ” ขณะที่องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ และภาคประชาชน ต้องกล้าทบทวนลำดับความสำคัญใหม่ เสียงดังจากบางกลุ่มอาจไม่สำคัญเท่าผลกระทบที่เกิดจริงกับชีวิตผู้คน การทุ่มเททรัพยากรเพื่อยับยั้งการลักลอบทิ้งสารพิษ การรณรงค์ลดขยะทะเลอย่างต่อเนื่อง คือหนทางสู่ความยั่งยืน

วันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ อาจถึงเวลาหยุดมองสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงแค่วันที่อยู่ในปฏิทิน และเริ่มต้นทำให้ “การดูแลสิ่งแวดล้อม” กลายเป็นวิถีชีวิตของทุกวัน เพื่อวันที่ลูกหลานจะยังมีป่าให้สูดอากาศ มีทะเลให้ว่ายน้ำ และมีธรรมชาติให้เติบโตได้อย่างปลอดภัย

บทความโดย : ภาณุพงศ์ เขียวทวี นักวิชาการด้านสัตว์น้ำ