นโยบายรัฐบาลสนับสนันนักลงทุนต่างชาติเข้าพื้นที่ เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ซึ่งกว่า 50% เป็นนักลงทุนจีนขยายฐานมาไทยและสวมเสื้อนักลงทุนไทย ส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามเมื่อมีนักลงทุนต้องมีที่อยู่อาศัยรองรับ ซึ่งพบว่าเป็นรูปแบบนอมินี เป็นจำนวนมาก และรูปแบบการก่อสร้าง การใช้แรงงาน รวมถึงวัสดุก่อสร้าง รวมถึงลูกค้าล้วนเป็นจีนแทบทั้งสิ้น และแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาภาครัฐจะเข้าไปปราบปรามแต่มองว่าปราบเท่าใดก็ไม่หมดไป ซึ่งมองว่าจะทำให้ไทยเสียประโยชน์จากทุนจีนเทาหาประโยชน์บนที่ดินไทย และนำกลับประเทศ ที่ไทยไม่ได้รายได้จากจีนแม้กระทั้งภาษี
ล่าสุด วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และคณะร่วมกันตรวจค้น เครือข่ายบริษัทนอมินี ในเขตพื้นที่จังหวัดระยอง และชลบุรี รวม 3 จุดดำเนินคดี
1.นิติบุคคล จำนวน 4 ราย ป 2.บุคคล จำนวน 11 ราย ประกอบด้วย รายการตรวจยึด เอกสารทะเบียนบริษัท 10 ชุด , สมุดบัญชีธนาคาร 48 เล่ม , โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง , โฉนดที่ดิน 7 ฉบับ เนื้อที่ รวม 72 ไร่ , สัญญาซื้อขายที่ดิน 1 ฉบับ , ตราประทับบริษัท 6 ชิ้น , Token ธนาคาร 7 ชิ้น ฐานความผิด 1.พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
2.พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497
3.พระราชกำหนดการบริหารการจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560
พฤติการณ์ ด้วยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) “การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (NOMINEE)” บูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทำงานร่วมกัน เพื่อป้องกันปราบปราม แก้ไขปัญหานอมินีต่างด้าว ตลอดจนกำกับดูแลและตรวจสอบนิติบุคคลให้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย
ต่อมากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบพบกลุ่มนิติบุคคลไทย จำนวน 3 ราย ถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี มีพฤติกรรมนำบุคคลสัญชาติไทยมาเป็นตัวแทนอำพราง หรือที่เรียกว่า “นอมินี” เพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมาย และการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ทำการสืบสวนสอบสวน กลุ่มนิติบุคคลทั้ง 3 รายดังกล่าว พบว่ากลุ่มบริษัทดังกล่าวเริ่มจดทะเบียนในช่วงปี2566-2567 โดยมีวัตถุประสงค์ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และดำเนินกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ซับซ้อน มีการใช้พนักงานคนไทย เช่น พนักงานฝ่ายขาย คนขับรถตักดิน มาถือหุ้นและเป็นกรรมการ โดยไม่ได้ลงทุนจริงและไม่มีบทบาทในการบริหารแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว บริษัทได้กว้านซื้อที่ดินในพื้นที่ อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง และ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 7 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 72 ไร่
เพื่อนำมาสร้างเป็นที่ตั้งบริษัทและโครงการที่พักอาศัย ในลักษณะอาคารชุด 8 ชั้น จำนวน 10 อาคาร เป็นห้องพักอาศัยกว่า 1,821 ห้อง รวมมูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างก่อสร้าง
ต่อมาวันที่ 22 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปอศ. ได้นำหมายค้นเข้าทำการตรวจค้นบริษัทพร้อมกัน 3 จุด ในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี โดยเข้าทำการตรวจยึดพยานเอกสารและพยานวัตถุที่สำคัญ
เช่น โฉนดที่ดินจำนวน 7 แปลง มูลค่า 36 ล้านบาท สมุดบัญชีธนาคารทั้งไทยและจีน จำนวน 48 เล่ม ยอดเงิน รวม 72 ล้านบาท ตราประทับบริษัท จำนวน 6 ชิ้น และ สอบสวนปากคำพยานจำนวน 14 ปาก ประกอบด้วย กรรมบริษัท พนักงานคนไทย และ แรงงานชาวจีน โดย พยานที่เป็นพนักงานของบริษัทให้การยืนยันว่า บริษัทถูกบริหารโดยบุคคลสัญชาติจีน และมีการนำชื่อพนักงานคนไทยไปเป็นผู้ถือหุ้นแทนคนจีน
จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีการส่งตัวแทนชาวจีนเข้ามาควบคุมสั่งการทั้งในด้านการบริหารและการดำเนินงานก่อสร้างของบริษัท มีการดำเนินกิจการและครอบงำจากนายทุนชาวจีนแบบครบวงจร
โดยตั้งบริษัทผลิตคอนกรีตเอง เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างโครงการที่พักอาศัย โดยใช้วิศวกรคุมงาน ผู้ออกแบบ ช่างวางระบบไฟฟ้า ประปา และแรงงานกรรมกรเป็นชาวจีน และจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัทพบว่า มีการรับโอนเงินจากบริษัทนายทุนจีน ซึ่งจดทะเบียนอยู่ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยพบเงินหมุนเวียนในบัญชีของบริษัทกว่า 500 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทดังกล่าวมีนายทุนจีนเป็นเจ้าของที่แท้จริง
จากการรวบรวมพยานหลักฐาน กก.4 บก.ปอศ. จึงได้ดำเนินคดี กับ นิติบุคคล จำนวน 4 ราย และบุคคลทั้งสัญชาติไทยและจีน จำนวน 5 ราย ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และ แรงงานชาวจีน จำนวน 6 ราย ในความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารการจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ในส่วนของที่ดินที่บริษัทถือครองกรรมสิทธิ์อยู่นั้น จะได้ดำเนินมาตรการบังคับให้จำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ต่อไป
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยถึงพี่น้องประชาชน การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้น โดยการนำเอาชื่อของตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดไปก่อตั้งบริษัทให้กับบุคคลต่างชาติ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนชาวต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ภายในประเทศ
ส่งผลกระทบภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น การแข่งขันทางธุรกิจในประเทศและธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับคนไทย ซึ่งจะมีความผิดทั้งนิติบุคคลและผู้ให้ความช่วยเหลือ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พ.ต.ท.วรวุฒิ คงรักษา สว.กก.4 บก.ปอศ. เบอร์ติดต่อ 094-4392557