อาการฝีดาษลิงเป็นยังไง แบ่งตามกลุ่มได้อย่างไรบ้าง น่ากลัวแค่ไหน อ่านเลย

05 ส.ค. 2565 | 06:16 น.

อาการฝีดาษลิงเป็นยังไง แบ่งตามกลุ่มได้อย่างไรบ้าง น่ากลัวแค่ไหน อ่านเลยที่นี่มีคำตอบ ดร.อนันต์เผยข้อมูลล่าสุดจากผู้ป่วยฝีดาษลิงในยุโรปที่รายงานไปที่ ECDC-WHO Regional Office

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์ และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว (Anan Jongkaewwattana)โดยมีข้อความระบุว่า 

 

ข้อมูลล่าสุดจากผู้ป่วยฝีดาษลิงในยุโรปที่รายงานไปที่ ECDC-WHO Regional Office ระบุว่า ในจำนวผู้ป่วยฝีดาษลิงทั้งสิ้น 9626 คน สามารถแบ่งตามกลุ่มอาการ แบบมีอาการนำ กับ อาการตุ่มบนผิวหนังได้ ดังนี้

 

  • 110 คน หรือ 1.1%  เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งอาการนำ และ อาการทางผิวหนัง แต่สามารถตรวจพบไวรัสได้ในตัวอย่างที่เก็บจากผู้ป่วย เรียกว่า Asymptomatic case ซึ่งจะแตกต่างจากกลุ่มที่อยู่ในระยะฟักตัว ซึ่งไม่มีอาการและยังตรวจไวรัสไม่พบ ซึ่งถ้าระยะฟักตัวเกิน 21 วัน ไม่แสดงอาการใดๆ แต่ตรวจผลออกมาเป็นบวก กลุ่มนี้ถึงจะจัดเป็น asymptomatic 
  • 390 คน หรือ 4.1% เป็นกลุ่มที่มีอาการนำ เช่น ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย หนาวสั่น แต่ไม่มีอาการตุ่มขึ้นตามผิวหนัง หรือ ขึ้นน้อยมาก  กลุ่มนี้จะสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านช่องทางละอองฝอย หรือ น้ำลายได้มากกว่าการสัมผัส ยังไม่แน่ชัดว่า กลุ่มนี้จะมีไวรัสในร่างกายนานเท่าไหร่ จะหายไปพร้อมกับอาการหรือไม่

 

อาการฝีดาษลิงเป็นยังไง แบ่งตามกลุ่มได้อย่างไรบ้าง

 

  • 3216 คน หรือ 33.4% เป็นกลุ่มที่มีผื่นและตุ่มหนองขึ้นแบบที่ไม่มีอาการนำที่ชัดเจน ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตัวเองเป็นฝีดาษลิงแล้วจนกว่าตุ่มหนองจะปรากฏชัด และ เนื่องจากอาการนำมีน้อย โอกาสที่กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้จะมีกิจกรรมต่างๆที่เสี่ยงต่อการสัมผัสตุ่มแผล หรือ การแพร่กระจายจะมีสูง 

 

  • 6910 คน หรือ 61.4% เป็นผู้ป่วยที่มีอาการตามตำรา คือ มีอาการนำมาก่อน และ ตามด้วยอาการทางผิวหนัง ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ป่วยส่วนใหญ่ แต่ก็ถือว่าค่อนข้างน้อย เมื่อมองว่าเกือบ 40% เป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการตามที่เคยทราบกันมา

ข้อมูลนี้ทำให้พอเห็นภาพว่า ผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงหลายคนอาจจะไม่รู้ความเสี่ยงของตัวเองที่จะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ เนื่องจากร่างกายไม่ได้เตือนอะไรให้ทราบล่วงหน้าก่อน

 

การเข้าใจกลไกการเกิดโรคในบริบทปัจจุบันจะสำคัญมาก เพราะถ้าอิงตามตำราที่ไม่ update เราอาจตามการเปลี่ยนแปลงของโรคนี้ไม่ทัน