ผงะ คนไทยเกือบครึ่งประเทศเคยถูกหลอกลวงออนไลน์ Gen Y Z เจอหนักสุด

24 พ.ค. 2565 | 04:34 น.

สศช.เปิดผลศึกษาภัยการหลอกลวงออนไลน์ พบคนไทยเกือบครึ่งประเทศเคยถูกหลอกถ้วนหน้า Gen Y Z ถูกหลอกมากสุด ไปดูข้อมูลทั้งหมดกันว่า ภัยที่ว่านี้ ส่วนใหญ่เป็นยังไง มูลค่าความเสียหายมากแค่ไหน และคนไทยถูกหลอกอะไร ขณะที่ข้อเสนอแนะมีอะไรที่พอจะช่วยลดผลกระทบได้บ้าง

น.ส.จินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช. ได้ทำการศึกษาและสำรวจเกี่ยวกับการหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารสมัยใหม่ ระหว่างเดือนมกราคม ถึง มีนาคม 2565 ในประชากรช่วงอายุ 17-77 ปี จำนวน 5,798 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ

 

ทั้งนี้พบว่า คนไทยเกือบครึ่งมีประสบการณ์ถูกหลอกลวงในช่วง 1 ปี และประมาณ 2 ใน 5  ตกเป็นเหยื่อ โดยกลุ่มตัวอย่าง 48.1% มีประสบการณ์โดนหลอกลวง ในจำนวนนี้ 42.6% ตกเป็นเหยื่อที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยประมาณ 2,400 บาทต่อคน

 

ทั้งนี้ Gen Y หรือผู้ที่เกิดปี 2523 - 2540 และ Gen Z หรือผู้ที่เกิดปี 2540 ขึ้นไป ถูกหลอกลวงสูงกว่า Gen X หรือผู้ที่เกิดปี 2508 - 2522 และ Baby Boomer หรือผู้ที่เกิดปี 2489 - 2507 จากการใช้เวลาและกิจกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตมากกว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามกลุ่ม Baby Boomer มีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยต่อครั้งสูงที่สุด

สำหรับการหลอกลวงโดยอ้างจะให้ผลประโยชน์มีสัดส่วนมากที่สุด โดยรูปการหลอกลวงที่พบมาก คือ อีเมล์/SMS หลอกลวง ขณะที่ประเภทการหลอกลวงที่มีอัตราการตกเป็นเหยื่อสูงสุด คือ หลอกขายสินค้าออนไลน์ ซื้อแล้วไม่ได้รับของ โดยมีอัตราการตกเป็นเหยื่อสูงถึง 82.6% แต่มูลค่าการเสียหายไม่มาก คือ เฉลี่ยประมาณ 600-700 บาทต่อคน 

 

ขณะที่การหลอกลวงข้อมูลส่วนตัวทางอีเมล์/SMS หลอกลวง การถูกแฮกข้อมูลหรือหลอก ขอข้อมูลบัตรเครดิต และการหลอกลวงให้ลงทุน ที่มีอัตราตกเป็นเหยื่อไม่สูง แต่มีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง

 

สำหรับผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่าครึ่งไม่มีการดำเนินการใด ๆ และเห็นว่าการป้องกัน/จัดการปัญหาของภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยกลุ่มตัวอย่าง 54.1% ไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ ด้วยเหตุผลว่ายังไม่เกิดความเสียหาย มีความยุ่งยากไม่มีเวลา คิดว่าแจ้งแล้วก็ไม่ช่วยอะไร และมูลค่าการสูญเสียไม่มากนัก นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ช่องทางการแจ้งเหตุที่เหมาะสม

 

ขณะที่ปัญหาการหลอกลวงผ่านเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน และสร้างความเสียหายให้กับผู้ถูกหลอกคิดเป็นมูลค่าที่สูง ในปี 2564 ประเทศไทยมีการใช้โทรศัพท์เพื่อหลอกลวงมากกว่า 6.4 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นถึง 270% และมีข้อความ SMS หลอกลวงเพิ่มขึ้น 57% 

 

ภัยการหลอกลวงออนไลน์

จากข้อมูลการแจ้งความและเรื่องร้องเรียน พบว่า ปี 2564 มีผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้าแจ้งความกว่า 1,600 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะที่มีการร้องเรียนปัญหาออนไลน์ 48,513 ครั้ง เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีก่อนหน้า 

 

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการถูกหลอกและการเอาตัวรอด มีดังนี้

  • พฤติกรรมเสี่ยงในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่และบุคลิกภาพส่วนบุคคล เป็นปัจจัยสำคัญที่เปิดโอกาสให้ตกเป็นเหยื่อ 
  • การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการหลอกลวง ทำให้โอกาสการตกเป็นเหยื่อลดลงได้ แต่มีบางรูปแบบที่การรับรู้ข่าวสารอาจไม่มีผล ได้แก่ การหลอกลวงมัลแวร์ การถูกแฮ็กบัญชีธนาคาร/โซเชียลมีเดีย การหลอกขอข้อมูลบัตรเครดิต/เดบิต 
  • เทคโนโลยีและทักษะ/กลยุทธของมิจฉาชีพเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและการตกเป็นเหยื่อ เช่น แอปพลิเคชันกู้เงิน สมัครงาน ขณะที่ทักษะ/กลยุทธ์หลอกลวง เช่น การสื่อสารและโน้มน้าวใจ การสร้างความน่าเชื่อ การคัดเลือกเหยื่อ 

 

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดในการรับมือกับปัญหา คือการหลอกลวงมีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ ตลอดเวลา มีความซับซ้อนและความแนบเนียนมากขึ้น จึงยากต่อการรู้เท่าทัน และข้อมูลเกี่ยวกับการหลอกลวงมีความกระจัดกระจาย การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลยังไม่เป็นระบบ ซึ่งทำให้ประเมินสถานการณ์ได้ยากและไม่เห็นภาพรวมของปัญหา 

 

รวมทั้งการจัดการปัญหาการหลอกลวงของหน่วยงานภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยขาดการทำงานเชิงรุกทั้งในแง่การป้องกัน การสร้างการเรียนรู้ให้สังคมรู้เท่าทัน และการพัฒนาการสืบสวนให้ทันต่อสถานการณ์นอกจากนี้การหลอกลวงในหลาย กรณีมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม/อาชญากรรมข้ามชาติทำให้ไม่สามารถขยายผลไปถึงผู้บงการได้

 

ภัยการหลอกลวงออนไลน์

 

ข้อเสนอต่อการแก้ไขปัญหา มีดังนี้

  1. สร้างภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตยุคดิจิทัลโดยรณรงค์/ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับรูปแบบการหลอกลวงต่าง ๆ เพื่อให้รู้เท่าทัน รวมทั้งรณรงค์ให้ภาคประชาชน มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล แจ้งเบาะแส ไม่ว่าจะเกิดความเสียหายหรือไม่ก็ตาม เพื่อเป็นข้อมูลให้การป้องปรามเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 
  2. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อการสื่อสารในการช่วยหยุด หรือควบคุมปัญหาการหลอกลวงก่อนที่จะกระจายสู่สังคมในวงกว้าง เช่น ธุรกิจแพลตฟอร์มการค้ามีเงื่อนไขการสมัครสมาชิกที่รัดกุม/เข้มงวด การให้อำนาจผู้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สามารถระงับสัญญาณเลขหมายที่ต้องสงสัยได้
  3. พิจารณาตั้งหน่วยงานเฉพาะที่มีหน้าที่กำกับดูแล ป้องกันและป้องปรามการหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารสมัยใหม่ โดยให้เป็นศูนย์ข้อมูลกลางข่าวสาร การประสานงาน การพัฒนาเครื่องมือในการป้องกัน และการตรวจการกระทำผิดร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง 
  4. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติทางไซเบอร์โดยการประสานข้อมูล ข่าวสาร และการอำนวยความสะดวกในการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง