วัคซีนโควิด mRNA เข็ม 4 ให้ผลไม่แตกต่างจากฉีดเข็ม 3 ในการป้องกันโอมิครอน

18 ม.ค. 2565 | 19:11 น.

วัคซีนโควิด mRNA เข็ม 4 ให้ผลไม่แตกต่างจากฉีดเข็ม 3 ในการป้องกันโอมิครอน หมอเฉลิมชัยเผยงานวิจัยจากประเทศออสราเอล พร้อมตั้งข้อสังเกตุ 3 ข้อเกี่ยวกับการประเมินผล

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
 

 

 

วัคซีน mRNA เข็มที่ 4 ให้ผลไม่แตกต่างจากเข็มที่ 3 ในกรณีต้องรับมือไวรัส Omicron (โอมิครอน)

 

 

จากกรณีไวรัส Omicron ระบาดกว้างขวางรวดเร็วทั่วโลก จนขณะนี้มีประเทศที่พบผู้ติดเชื้อ Omicron ไปแล้วกว่า 140 ประเทศ ในช่วงระยะเวลาเพียง 2 เดือน

 

 

แม้ไวรัส Omicron จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์ Delta (เดลตา) ทั้งผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิต

 

 

แต่การติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว ก็ยังสามารถทำให้เกิดอาการหนักจนเสียชีวิตได้

 

 

จึงมีการเร่งวิจัยและพัฒนาวัคซีนเจนเนอเรชั่นที่สอง เพื่อจะรับมือกับไวรัส Omicron แต่ยังไม่สำเร็จ (มีเพียงข่าวว่าบริษัท Pfizer กำลังจะผลิตในเดือนมีนาคม 2565)
 

จึงทำให้ในขณะนี้ เรามีเฉพาะวัคซีนเจนเนอเรชั่นที่หนึ่ง ซึ่งไม่ได้ผลิตมาเพื่อรับมือกับไวรัส Omicron

 

 

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่าวัคซีนของทุกเทคโนโลยีและทุกบริษัท รับมือกับ Omicron ได้เพียง 30% ในกรณีฉีด 2 เข็ม

 

 

 

ถ้าฉีด 3 เข็ม พบว่ารับมือกับ Omicron ได้ดีเพิ่มขึ้นเป็น 60-70%

 

 

ทั้งนี้เป็นตัวเลขของการป้องกันการติดเชื้อ ถ้าเป็นกรณีป้องกันหรือลดการป่วยหนักและการเสียชีวิต ตัวเลขจะสูงกว่านี้

 

 

วัคซีน mRNA เข็ม 4 ไม่ต่างจากเข็ม 3 ในการป้องกันโอมิครอน

 

 

อิสราเอลซึ่งเป็นประเทศขนาดเล็กที่ประชาชนให้การยอมรับในการทดลองสิ่งต่างๆใหม่ๆง่ายกว่าประเทศอื่น รวมทั้งการทดลองวัคซีนด้วย

 

 

จึงมีงานวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนออกมาเป็นลำดับต้นของโลกเสมอ

 

 

ล่าสุดศูนย์การแพทย์ Sheba ของอิสราเอลได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นว่า

ได้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer แล้ว 3 เข็ม

 

 

โดยมี 154 รายฉีดเข็ม 4 เป็น Pfizer และ 120 รายฉีดวัคซีน Moderna

 

 

โดยนำไปเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมก็คือ ผู้ที่ฉีดวัคซีน Pfizer 3 เข็ม โดยไม่ได้ฉีดเข็มที่ 4

 

 

พบว่าระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่าฉีด 3 เข็มเพียงเล็กน้อย จึงคาดว่าจะรับมือไวรัส Omicron ได้ไม่แตกต่างไปจากฉีด 3 เข็ม

 

 

วัคซีน mRNA เข็ม 4 ไม่ต่างจากเข็ม 3 ในการป้องกันโอมิครอน

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อสังเกตดังนี้

 

 

  • เป็นรายงานเบื้องต้น ยังไม่มีรายละเอียดตัวเลขของระดับภูมิคุ้มกัน และตัวเลขประสิทธิผลเป็นร้อยละของการป้องกันการติดเชื้อ
  • ระยะห่างของการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในอาสาสมัคร กับวันที่ฉีดเข็ม 4 สั้นเกินไปคือ ในกลุ่ม Pfizer ตรวจที่ 2 สัปดาห์หลังฉีดเข็ม 4 และกลุ่ม Moderna ตรวจที่ 1 สัปดาห์หลังฉีดเข็ม 4 ทั้งนี้เนื่องจากว่า ระดับภูมิคุ้มกันของวัคซีน จะขึ้นสูงสุดหลังจากที่ฉีดไปแล้ว 4 สัปดาห์ขึ้นไป
  • ยังไม่ทราบระยะห่างของเข็มที่ 3  และ 4 ว่าห่างกันมากน้อยเพียงใด เนื่องจากเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ยิ่งฉีดห่างจากเข็มก่อนหน้านานมากเท่าไหร่ จะยิ่งได้ภูมิคุ้มกันยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ถ้าฉีดใกล้กันมากเกินไป ภูมิคุ้มกันจะขึ้นน้อย ตัวอย่างเช่น วัคซีนในเด็กชนิด คอตีบไอกรนบาดทะยัก เราจะฉีด 5 เข็ม ห่างกันดังนี้ 2,4,6, 18 และ 48 เดือน วัคซีนตับอักเสบที่ฉีด 3 เข็มก็จะฉีดห่างกัน 0,1,6 เดือนตามลำดับ

 

 

กล่าวโดยสรุป

 

 

  • การฉีดวัคซีนเข็ม 4 ควรฉีดห่างจากเข็ม 3 ให้นานที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อให้ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูง แต่จะมีความเสี่ยงว่าระหว่างรอฉีดเข็ม 4 อาจติดเชื้อไปเสียก่อน
  • การตรวจดูระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน ถ้าจำเป็นจะต้องตรวจ ควรจะให้ห่างจากการฉีดวัคซีนประมาณ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป
  • คงจะต้องติดตามรายละเอียดข้อมูลของอิสราเอลหลังจากที่มีรายงานเพิ่มเติม ก็จะได้ความชัดเจนมากขึ้น