วัคซีนโควิดฉีดเชื้อตาย 2 เข็มตามด้วย mRNA เทียบเท่า mRNA 3 เข็มกันโอมิครอนได้

15 ม.ค. 2565 | 08:49 น.

วัคซีนโควิดฉีดเชื้อตาย 2 เข็มตามด้วย mRNA เทียบเท่า mRNA 3 เข็ม หมอเฉลิมชัยเผยผลวิจัยพบป้องกันโอมิครอน และทุกสายพันธุ์ได้ดี

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

 

ชัดเจนมากขึ้น วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มแรก เมื่อตามด้วย mRNA เป็นเข็มที่ 3 ได้ผลดีเทียบเท่ากับฉีดวัคซีน mRNA 3 เข็ม

 

 

หลังจากที่โควิดระบาดทั่วโลกมากว่าสองปีนั้น ได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 10,000 ล้านโดส

 

 

โดยที่เป็นวัคซีน Sinovac หรือเชื้อตายมากที่สุดราว 22% มีประสิทธิผล 65-85%

 

 

วัคซีน Pfizer ฉีดไป 20% 
ประสิทธิผล 90-95%

 

 

วัคซีน Sinopharm ฉีดไป 19% 
ประสิทธิผล 65-80%

วัคซีน AstraZeneca ฉีดไป 17% 
ประสิทธิผล 65-80%

 

 

วัคซีน Moderna ฉีดไป 5% 
ประสิทธิผล 95%

 

 

แต่ด้วยเหตุที่ระดับภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน จะลดลงค่อนข้างเร็ว ประกอบกับมีไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มตามด้วย mRNA เทียบเท่าฉีด mRNA 3 เข็ม

 

 

จึงมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ซึ่งขณะนี้ฉีดไปแล้วมากกว่า 450 ล้านโดส
เนื่องจากวัคซีนมีความขาดแคลนในช่วงแรกมาก จึงทำให้มีการฉีดวัคซีนต่างบริษัทหรือต่างเทคโนโลยีที่เรียกว่าวัคซีนสูตรไขว้ (Heterologous)

 

 

ประกอบกับในช่วงต้นพบว่า การฉีดวัคซีนเชื้อตาย แล้วตามด้วยวัคซีนไวรัสเป็นพาหะหรือวัคซีน mRNA มีความปลอดภัยดี ที่สำคัญคือได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่าการฉีดวัคซีนตัวเดิม

 

 

 

จึงทำให้มีผู้คนสนใจว่า ในกรณีที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1-2 เป็นวัคซีนตัวเดียวกัน เมื่อฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่3 เป็นสูตรไขว้ จะให้ผลดีมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับที่เคยทราบถึงผลดีของการฉีดวัคซีนสูตรไขว้จากการฉีดวัคซีน 2 เข็มที่ต่างกันมาแล้ว
 

กลุ่มนักวิจัยซึ่งทำที่สวีเดน มีอาสาสมัคร 124 ราย (183 ตัวอย่าง) เป็นของสวีเดน 75 ราย เยอรมัน 18 ราย และอิหร่าน 31 ราย ได้ทำการศึกษาใน 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

 

 

 

  • ฉีดวัคซีน Sinovac 2 เข็ม
  • ฉีดวัคซีน Sinopharm 2 เข็ม
  • ฉีดวัคซีน Pfizer 2 เข็ม
  • ฉีดวัคซีน Moderna 2 เข็ม
  • เคยติดโควิดมาแล้ว และฉีดวัคซีน Pfizer 1 เข็ม

 

 

 

โดยทั้ง 5 กลุ่มดังกล่าว เมื่อทำการตรวจดูระดับภูมิคุ้มกัน พบว่าในกลุ่มที่เป็นวัคซีนเทคโนโลยีเชื้อตายคือ SV , SP ได้ระดับภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกันมาก เช่นเดียวกับกลุ่มวัคซีนเทคโนโลยี mRNA คือ PZ , MN ก็ได้ผลใกล้เคียงกันมาก
ทีมคณะวิจัยจึงทำการยุบรวมกลุ่มเป็นกลุ่มวัคซีนเชื้อตาย และกลุ่มวัคซีน mRNA โดยได้ทำการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีน mRNA และศึกษาใน 3 ลักษณะด้วยกันคือ

 

 

  • ดูระดับภูมิคุ้มกัน (IgG)
  • ดูบีเซลล์ (B-Cell)
  • ดูทีเซลล์ (T-Cell)

 

 

ซึ่งปรากฏว่า

 

 

กลุ่มที่ฉีดเข็ม 1-2 ด้วยวัคซีนเชื้อตายแล้วกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีน mRNA ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงสุด 664.9 BAU/ml

 

 

ในขณะที่กลุ่มฉีดวัคซีน mRNA 3 เข็มได้ 475.7 BAU/ml

 

 

และผู้ที่ติดเชื้อตามธรรมชาติแล้วฉีดวัคซีน mRNA ได้ 388.6 BAU/ml

 

 

ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ พบในทุกสายพันธุ์ของไวรัสทั้ง โอมิครอน เดลตาและเบต้า
เมื่อศึกษาในส่วนที่สองคือ ดูการทำงานของบีเซลล์ ซึ่งเป็นตัวที่จะมีความทรงจำและสร้างภูมิคุ้มกันในภายหลังได้

 

 

ก็พบผลในทำนองเดียวกันคือ กลุ่มที่ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มแล้วกระตุ้นเข็มสามด้วย mRNA ได้ผลดี

 

 

ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มตามด้วย mRNA เทียบเท่าฉีด mRNA 3 เข็ม

 

 

เมื่อศึกษาในส่วนที่ 3 ดูการทำงานของทีเซลล์ ซึ่งก็จะเป็นกลุ่มที่ทำงานในลักษณะเป็นเซลล์ความทรงจำ เมื่อมีไวรัสเข้ามา ก็จะสามารถทำงานเข้าต่อสู้ได้
ผลก็เป็นเช่นเดียวกันคือ วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม แล้วตามด้วย mRNA เป็นเข็มที่ 3 ได้ผลดีเช่นเดียวกัน

 

 

และการได้ผลดีนั้น ดีกับไวรัสทุกสายพันธุ์ รวมทั้งโอมิครอนด้วย

 

 

เนื่องจากการทำงานของบีและทีเซลล์ซึ่งเป็นเซลล์แห่งความทรงจำ ที่แม้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลงแล้ว

 

 

เมื่อมีไวรัสเข้ามาอีก ก็สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ จึงทำให้เกิดการติดเชื้อไปก่อน แต่อาการไม่รุนแรง

 

 

จึงพอสรุปได้ว่า

 

 

การฉีดวัคซีน 2 เข็มแรกเป็นเทคโนโลยีเชื้อตาย แล้วตามด้วยการกระตุ้นเข็มที่ 3 เป็น mRNA ให้ผลในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ในการกระตุ้นบีและทีเซลล์ได้ไม่ด้อยกว่าฉีด mRNA 3 เข็ม และผลตัวเลขออกมาจะดีกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำไป

 

 

อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ทำให้สถานการณ์โอมิครอนในระลอกที่สี่ของประเทศไทย มีผู้ที่เจ็บป่วยอาการรุนแรงน้อย เมื่อเทียบกับในยุโรป

 

 

อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า เพราะเราได้ฉีดวัคซีนเชื้อตายในเข็มหนึ่งเข็มสองเป็นจำนวนที่มากกว่าในประเทศตะวันตก

 

 

อย่างไรก็ตาม คงจะต้องศึกษาให้มีจำนวนตัวอย่างมากกว่าที่สวีเดนนี้ และทำการศึกษาติดตามกันต่อไป