"ดร.สนใจ หะวานนท์" ผู้เชี่ยวชาญป่าชายเลนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ศึกษาวิจัยเรื่องป่าชายเลนในประเทศต่างๆ มากว่า 40 ปี พร้อมเปิดเผยงานวิจัยเรื่องป่าชายเลน ซึ่งร่วมโครงการกับกรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และบริษัท คันไซ อิเลคทริค เพาเวอร์ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2543 และได้ผลสรุปในปี 2547 ว่าถ้าเปรียบเทียบด้านการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างป่าชายเลนกับป่าบกโดยกระบวนการสังเคราะห์แสงที่ต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนออกมา พบว่าป่าชายเลนของประเทศไทยสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหนือพื้นดินได้ 27.1 ตันต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) และสะสมในดิน 16.9 ตันต่อเฮกตาร์ รวมแล้ว 44.0 ตันต่อเฮกตาร์ ประมาณการณ์ได้ว่าป่าชายเลนของประเทศไทยประมาณ 1.5 ล้านไร่ หรือประมาณ 0.24 ล้านเฮกแตร์ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 11 ล้านตันต่อปี สำหรับป่าดิบชื้น International Panel on Climate Change) (IPCC) ได้ให้ข้อมูลเฉพาะการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้เหนือพื้นดินว่า โดยเฉลี่ย 20.2 ตันต่อเฮกตาร์
ในการสะสมคาร์บอนที่อยู่ในดิน ป่าชายเลนจะมีมากกว่าป่าบกถึง 6 เท่าตัว เนื่องจากป่าบกสะสมคาร์บอนในดินได้เพียงประมาณ 200 ตันเท่านั้น ขณะที่การศึกษาที่อ่าวท่าคา-สวี จังหวัดชุมพร ในปี 2542 พบว่าป่าชายเลนสามารถสะสมคาร์บอนฯ ที่บริเวณดินเลนลึกลงไปได้อีกถึง 1,200 ตันต่อเฮกตาร์ เนื่องจากในชั้นดินเลน มีการสะสมธาตุคาร์บอนต่างๆ จากการทับถมของอินทรียวัตถุทั้งหลายได้เป็นเวลานาน และถ้าเป็นป่าชายเลนที่ปลูกเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่สูงประมาณ 30 เมตร จะเก็บปริมาณคาร์บอนเพิ่มขึ้นได้อีก 200 ตันต่อเฮกตาร์ นี่คือเหตุผลว่าป่าชายเลนสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มหาศาล
จากการวิจัยที่ปากแม่น้ำท่าจีนพบว่า ไม้แต่ละสายพันธุ์ จะมีคุณสมบัติดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ต่างกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์การเลือกพันธุ์ไม้ที่จะใช้ปลูกป่าชายเลน "ดร.สนใจ" ยกตัวอย่าง ในพื้นที่ 1 ไร่ ถ้าปลูกไม้แสมสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 7.49 ตัน ไม้โกงกางดูดซับคาร์บอนฯได้ปีละ 6.22 ตันและไม้ตะบูนสามารถดูดซับคาร์บอนฯ ได้ 4.14 ตันต่อปี ซึ่งไม้โกงกางและตะบูนมีอายุยืนกว่า 100 ปี ไม้แสมอายุประมาณ 50 ปี
พื้นที่ป่าชายเลนของไทย เดิมมีพื้นที่กว้างทั้งชายฝั่งทะเลอันดามันและชายฝั่งทะเลอ่าวไทย แต่หลายปีที่ผ่านมาป่าชายเลนถูกทำลายจากการทำนากุ้งและการบุกรุก จึงทำให้พื้นที่ป่าชายเลนของไทยลดน้อยลงไปมาก
ปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีนโยบายในการส่งเสริมการปลูก และอนุรักษ์ป่าชายเลนในหลายพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประชาชนในท้องถิ่นหลายแห่ง ทำให้ป่าชายเลนของไทยค่อยๆ ฟื้นคืนมา แต่ก็ยังต้องการความร่วมมืออีกมากจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการดูแลต่อเนื่อง เพราะถ้าปลูกป่าในสภาวะไม่เหมาะสมและไม่มีการดูแล ไม่นานต้นไม้ที่ปลูกใหม่ก็จะตาย
หนึ่งในโครงการที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ร่วมกับเอกชน คือ โครงการ Dow and Thailand Mangrove Alliance ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายชายฝั่งในการอนุรักษ์ป่าชายเลน โดยทำงานร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าชายเลนอย่างครบวงจร โดยจะมีการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ห้องเรียนมีชีวิตในป่าชายเลน และเผยแพร่ความรู้การคัดแยกขยะเพื่อลดขยะทะเล โดยเริ่มต้นโครงการที่ปากน้ำประแส จังหวัดระยอง และมีแผนจะขยายไปในอีกหลายจังหวัด สิ่งที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ก็คือจะมีการส่งเสริมกลไกคาร์บอนเครดิตของป่าชายเลนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และจะเปิดให้ให้ชุมชนและประชาชนได้มีส่วนร่วมด้วยภายในปีนี้
กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่า ปีนี้ประเทศไทยจะเผชิญกับภัยแล้งที่รุนแรงมากที่สุดในรอบ 20 ปี ปริมาณน้ำฝนจะต่ำกว่าค่าปกติถึง 2-3 % ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้วประมาณ 14% ส่วนที่กระทบหนักที่สุด คือ พื้นที่เพาะปลูกพืชในหลายจังหวัด ซึ่งอาจขาดแคลนน้ำในการเกษตรกรรม ในขณะที่บางพื้นที่ซึ่งไม่ต้องการน้ำฝนมากกลับประสบปัญหาน้ำท่วม เพราะฉะนั้น หากต้องการช่วยประเทศ ช่วยโลก การปลูกป่าชายเลนจึงเป็นทางเลือกที่ต้องเร่งดำเนินการ
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 หน้าที่ 23 ฉบับที่ 3,592 วันที่ 16 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563