เมืองรองจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ เต็มไปด้วยอารยธรรมที่สวยงามจนมีคำขวัญที่ว่า “พระธาตุเด่น พระรอดขลัง ลำไยดัง กระเทียมดี ประเพณีงามจามเทวีศรีหริภุญชัย”...ใช่แล้วจังหวัดลำพูนนั่นเอง ...จังหวัดนี้เป็นเมืองสงบ เล็กๆ แทบจะเป็นเมืองผ่านแต่กลับมีของดีมากมาย
ลำพูน จังหวัดเล็กๆ ในภาคเหนือ กลับมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เล็กตามพื้นที่ แต่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในดินแดนล้านนา ประวัติแบบย่อๆ มีอยู่ว่า เดิมทีลำพูนมีชื่อว่า “นครหริภุญชัย” สร้างขึ้นราว พ.ศ.1200 โดยฤาษีวาสุเทพได้เกณฑ์พวกเมงคบุตร หรือละว้า ล่องเรือลงมาจากต้นแม่นํ้าปิง เพื่อสร้างเมืองใหม่ ครั้นเมื่อสร้างเสร็จได้อัญเชิญพระนางจามเทวี พระธิดาแห่งเมืองละโว้มาปกครองเมืองเป็นพระองค์แรก จากนั้นนครหริภุญไชยก็มีกษัตริย์ครองเมืองสืบต่อมาอีกหลายพระองค์ยาวนานกว่า 600 ปี ก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรล้านนา และต่อมาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกกว่า 200 ปี
จนมาถึงสมัยกรุงธนบุรี เจ้ากาวิละได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าตากสินมหาราช ขับไล่พม่าสำเร็จ จนได้ครองเมืองเชียงใหม่ แล้วให้เจ้าคำฟั่น น้องชาย ครองเมืองลำพูน ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองลำพูนมีฐานะเป็นเมืองขึ้น มีเจ้าผู้ครองนครสืบต่อกันมา จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 จึงได้มีการยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร และยกฐานะเป็นจังหวัดลำพูนจนถึงปัจจุบัน
มาลำพูนเสน่ห์อย่างหนึ่งคือการนั่งรถไฟลอดถํ้าขุนตาน มีโอกาสต้องลองดู พอเข้ามาเที่ยวในจังหวัดสถานที่แห่งแรกที่ต้องไม่พลาดเมื่อมาเยือนเมืองหริภุญชัย คือ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร วัดประจำปีเกิดของคนปีระกา เป็นเจดีย์แบบล้านนาไทยแท้ๆ ที่ลงตัวสวยงาม ภายในบรรจุพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคำ ประดิษฐานในพระเจดีย์ ประกอบด้วยฐานปัทม์ แบบฐานบัวลูกแก้ว ย่อเก็จต่อจากฐานบัวลูกแก้วเป็นฐานเขียงกลม 3 ชั้น
ตั้งรับองค์ระฆังกลม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม เจดีย์มีลักษณะใกล้เคียงกับพระธาตุดอยสุเทพ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตามตำนานเล่าว่า 1,000 ปีก่อน เคยเป็นวังของพระเจ้าสรรพสิทธิ์ เมื่อพระองค์ทรงขุดพบพระบรมสารีริกธาตุหรือพระเกศาธาตุ จึงโปรดให้ก่อองค์พระธาตุขึ้น จนเมื่อ 500 ปีก่อน ในสมัยพระเจ้าติโลกราชได้โปรดให้ก่อพระธาตุแบบลังกาครอบองค์เดิมดังปรากฏในปัจจุบัน นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงศิลปวัตถุมากมาย อีกทั้งในวันเพ็ญเดือน 6 จะมีงานนมัสการและสรงนํ้าพระบรมธาตุทุกปี
จากนั้นก็เลยไปสักการะ “อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี” จอมกษัตรีย์ที่กอบกู้บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง แล้วมาต่อที่ “วัดจามเทวี” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดกู่กุด ตั้งอยู่หมู่ 5 ริมถนนจามเทวี ตำบลในเมือง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 1298 ฝีมือช่างละโว้ ลักษณะพระเจดีย์เป็นสี่เหลี่ยมแบบพุทธคยาในประเทศอินเดีย แต่ละด้านมีพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่เป็นชั้นๆ ภายในเจดีย์บรรจุอัฐิของพระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย ตามตำนานเล่าว่าเจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ ราชโอรสของพระนางจามเทวีได้สร้างขึ้น เพื่อบรรจุอัฐิของพระนางเมื่อปี 1298 เดิมมียอดห่อหุ้มด้วยทองคำ ต่อมาจะเป็นสมัยใดไม่ทราบชัด ที่ยอดพระเจดีย์หักหายไปชาวบ้านจึงเรียกว่า “กู่กุด” หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “พระเจดีย์สุวรรณจังโกฏ”
สถานที่สำคัญอีกแห่ง “กู่ช้าง กู่ม้า” โบราณสถานที่ตั้งอยู่คู่กัน และเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ชาวลำพูนให้ความเคารพนับถือ อยากสมหวังสิ่งใดก็มักจะมาขอพรกันที่นี่ ด้วยความเชื่อที่ว่ากู่ช้างเป็นสุสานของพระยาช้าง “ผู้กลํ่างาเขียว” ช้างทรงคู่พระบารมีของพระนางจามเทวี โดยเป็นช้างที่มีฤทธิ์มากเมื่อหันงาไปทางใดจะทำให้เกิดภัยพิบัติและผู้คนล้มตาย เมื่อพระยาช้างล้มลง พระนางจึงโปรดให้นำซากช้างมาฝังไว้ที่นี่ให้งาชี้ขึ้นฟ้าและสร้างเจดีย์ครอบเอาไว้ ส่วนกู่ม้าเชื่อว่าเป็นที่บรรจุซากม้าทรงของพระเจ้ามหันตยศ พระราชโอรสของพระนางจามเทวี ชาวลำพูนให้ความนับถือกู่ช้างมาก มีการสร้างศาลเจ้าพ่อไว้ใกล้กับเจดีย์ และในวันที่ 9 เดือน 9 ซึ่งเชื่อว่าเป็นวันที่พระยาช้างล้ม จะมีการบวงสรวงและขอพรให้ท่านช่วยปกปักษ์รักษาประชาชนให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
ด้วยพื้นที่อันจำกัด เลยขอพาชมเมืองลำพูนแบบย่อๆ มาแบบสายธรรม มีโอกาสจะพากลับไปแอ่วอีกครั้ง...
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,505 วันที่ 15 - 18 กันยายน พ.ศ. 2562