สมาคมนักข่าวฯ จับมือ สคบ. จัดเสวนา พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค 2562 รองเลขา สคบ.ยันเพิ่มอำนาจ เลขา สคบ.ทำงานครอบคลุมและแก้ปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ส่วนภาคประชาสังคมเผยการมีสภาองค์กรของผู้บริโภคช่วยปชช. ลดขั้นตอนการร้องเรียนขณะที่ภาคสื่อมวลชนระบุสื่อฯควรเน้นทำข่าวผู้บริโภคเชิงลึก
วันนี้ (25 สิงหาคม2562) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) จัดเวทีเสวนาสาธารณะ“ราชดำเนินเสวนา” ในหัวข้อ“ผ่าพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่: สังคมได้อะไร?”หลังจากราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่“พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค(ฉบับที่4) พ.ศ. 2562” เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2562 มีเนื้อหาทั้งหมด 38 มาตราโดยในมาตรา2 ระบุว่า“พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปซึ่งวันอาทิตย์ที่25 สิงหาคม2562 พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
นายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการ สคบ. กล่าวว่าวันนี้(25 สิงหาคม2562) เป็นวันแรกที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่มีผลบังคับใช้วันแรกโดยภาพรวมของพ.ร.บ. ดังกล่าวมีดังนี้หนึ่งมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการโดยให้มี‘คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค’ ประกอบไปด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดในทุกกระทรวงรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน8 คนและผู้แทนความรู้ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาการภาคประชาชนและภาคผู้ประกอบธุรกิจอย่างน้อยภาคละ2 คนซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้ภาครัฐสามารถจัดการปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในปัจจุบันมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขายของทางออนไลน์ที่มากขึ้น จึงจัดตั้งกรรมการที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้ามามีอำนาจในการจัดการปัญหาโดยตรงรวมถึงการยังให้อำนาจกับเลขาธิการสคบ. สามารถพิจารณาและสั่งดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการหากพบว่าปัญหานั้นเข้าเกณฑ์ความผิดส่วนนี้จะทำให้การดำเนินการแก้ไขปัญหารวดเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อนต่างจากเดิมที่เมื่อมีปัญหาจะมีหลากหลายหน่วยงานเข้ามาจัดการจนทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้า
สองมีการเพิ่มอัตราโทษปรับให้สูงขึ้นหนึ่งเท่าในทุกมาตราอีกทั้งกรณีสินค้าและบริการที่เป็นอันตรายจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์มาตรการดังนั้นเมื่อผู้ประกอบธุรกิจผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหรือร่างกายก็ต้องมั่นใจว่าสินค้าหรือบริการนั้นปลอดภัยเพราะ พ.ร.บ. ฉบับนี้กำหนดให้เมื่อผู้ประกอบธุรกิจทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากการใช้สินค้าหรือบริการบทลงโทษจะเปรียบเทียบความผิดไม่ได้กล่าวคือเมื่อพบความผิดของผู้ประกอบธุรกิจจะมีการเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาและฟ้องดำเนินคดีทันที
และสามการให้อำนาจกับท้องถิ่นเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ต่างจากเดิมที่ต้องส่งเรื่องมายังหน่วยงานกลางซึ่งทำให้ล่าช้าขึ้นโดยมีการกระจายงานเช่นการรับเรื่องร้องทุกข์การตรวจสอบการสื่อสารประชาสัมพันธ์การรวมตัวของเครือข่ายโดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบความผิดในแต่ละพื้นที่และเงินค่าปรับที่ได้มาจากการกระทำผิดไม่ต้องส่งให้ส่วนกลางแต่ให้กับพื้นที่เพื่อจะได้นำไปสร้างความเข้มแข็งให้กับพื้นที่และยังทำให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องสภาองค์กรของผู้บริโภคที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นสคบ. ก็จะมีการทำงานร่วมกับสภาฯอยู่แล้วซึ่งตอนนี้กำลังทำแผนการขับเคลื่อนงานบูรณาการของภาครัฐโดยมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็น Big Data ระหว่างหน่วยงานรัฐทั้งหมด 6 ฐานได้แก่
1) ฐานข้อมูลเรื่องร้องเรียนเพื่อทำให้มีข้อมูลการร้องเรียนจากหลายๆหน่วยงานและสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรื่องที่ผู้บริโภคร้องเรียนมากที่สุดคืออะไร 2) ฐานข้อมูลผู้ประกอบธุรกิจในเรื่องการจดทะเบียนต่างๆเช่นทะเบียนพาณิชย์ทะเบียนอาหารทะเบียนยาฯลฯเพื่อที่จะมีข้อมูลของผู้ประกอบการและสามารถสื่อสารไปยังผู้บริโภคได้ว่าสินค้าใดมีการจดทะเบียนถูกต้องหรือสินค้าใดที่ถูกยกเลิกทะเบียน
3) ฐานข้อมูลบุคคลเพื่อเชื่อมโยงถึงรายชื่อกรรมการของบริษัทต่างๆหรือรายชื่อผู้ประกอบการธุรกิจหากมีเรื่องร้องเรียนจะสามารถตรวจสอบได้ว่าบุคคลนี้เคยถูกร้องเรียนกี่ครั้งและเรื่องอะไรบ้าง4) ฐานข้อมูลการดำเนินคดีเพื่อจะได้มีทะเบียนประวัติว่าผู้ประกอบธุรกิจเคยถูกดำเนินคดีเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง5) ฐานข้อมูลองค์ความรู้เช่นข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคต่างๆ 6) ฐานข้อมูลเตือนภัยการนำข้อมูลจากทั้ง5 ฐานที่กล่าวไปมาวิเคราะห์คัดกรองต่างๆและเผยแพร่เตือนภัยให้ประชาชนได้รับทราบ
ขณะที่นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(มพบ.) กล่าวว่าจุดแข็งของพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่นี้คือการให้อำนาจสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ฟ้องคดีเองได้ซึ่งน่าจะทำให้กระบวนการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและช่วยลดการเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการลงได้อีกเรื่องหนึ่งที่มองว่าเป็นจุดแข็งคือการมีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยเพราะในประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยค่อนข้างมากเช่นมีคนเสียชีวิตจากการใช้บริการระบบขนส่งมวลชนเสียชีวิตจากการซื้อสินค้าและบริการในห้างหรือแม้แต่เสียชีวิตจากการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทาน
สำหรับเรื่ององค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคนางสาวสารีเสนอว่าอยากให้เพิ่มสัดส่วนตัวแทนฝั่งประชาชนจากสองคนเป็นสี่คนและใช้คำที่บ่งบอกชัดเจนว่ามาจากสภาองค์กรฯรวมทั้งควรเพิ่มสัดส่วนตัวแทนผู้บริโภคในคณะกรรมการเฉพาะด้านเช่นด้านโฆษณาด้านฉลากด้านสัญญาด้านความปลอดภัยของสินค้าเป็นต้นเพื่อให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะปัญหาและอุปสรรคในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านต่างๆ
นางสาวสารี กล่าวอีกว่าอย่างไรก็ตามพ.ร.บ. ฉบับนี้มีบางจุดที่ควรปรับปรุงเนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศในอาเซียนมีความพยายามที่จะปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับเรื่องสิทธิระหว่างประเทศแต่กฎหมายฉบับใหม่นี้กลับไม่ได้มีการปรับแก้ให้สอดคล้องสอดคล้องทำให้กฎหมายประเทศไทยคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคน้อยกว่าประเทศในอาเซียนเช่นสิทธิที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยตัวอย่างที่เห็นภาพคือปัญหาฝุ่นpm 2.5 สิทธิที่จะได้ข้อมูลที่เป็นความจริงซึ่งทุกวันนี้ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องข่าวปลอม(Fake News) จำนวนมากหรือแม้แต่สิทธิเรื่องความเป็นส่วนตัวและการสื่อสารถึงกันอย่างอิสระเสรีบนโลกออนไลน์
“แม้สิทธิต่างๆเหล่านี้จะยังไม่ได้ระบุลงในกฎหมายแต่หวังว่าสคบ. จะมองเห็นความสำคัญป้องกันและดำเนินการแก้ไขปัญหาเช่นมีการเปิดเผยข้อมูลสินค้าที่ผิดมีปัญหาหรืออาจร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอื่นเช่นอย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) นำข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีสารอันตรายมาเปิดเผยเพื่อให้สคบ. เป็นเหมือนแหล่งที่ผู้บริโภคสามารถเข้าไปดูข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่างๆได้ในที่เดียว” นางสาวสารีกล่าว
นางสาวสารี กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องสภาองค์กรของผู้บริโภคว่าสภาองค์กรฯเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้บริโภคและองค์กรผู้บริโภคโดยต้องไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐภาคธุรกิจและพรรคการเมืองเพื่อให้ทำงานได้อย่างเป็นกลางและไม่เอื้อผลประโยชน์กับฝ่ายใดซึ่งการมีสภาองค์กรฯจะช่วยลดขั้นตอนในการเดินทางร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้กฎหมายยังมอบอำนาจให้สภาองค์กรฯสามารถไกล่เกลี่ยช่วยเหลือได้และฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้
ส่วนนายบรรยงค์ สุวรรณผ่อง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคภาคสื่อมวลชนเปิดเผยว่าพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับปัจจุบันไม่ได้จำกัดเพียงแค่ว่าเป็นเรื่องของรัฐเท่านั้นแต่จะมีการเพิ่มเรื่องความคล่องตัวการมอบอำนาจแก่ท้องถิ่นมากขึ้นการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารใหม่และมีการเพิ่มอำนาจของกรรมการให้มากขึ้นโดยมีการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมรวมถึงยังมีกรรมการด้านความปลอดภัยที่เข้ามาดูแลเรื่องสินค้าบริการและเฝ้าระวังให้ผู้บริโภคด้วยนอกจากนั้นยังมีการกำหนดเรื่องการโฆษณาในมาตรา29 ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นและเพิ่มโทษปรับ2 เท่า- 10เท่าในกรณีการทำผิดเมื่อเปรียบเทียบกับพ.ร.บ. ฉบับปีพ.ศ. 2556
อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคภาคสื่อมวลชนกล่าวอีกว่าอุปสรรคของกฎหมายฉบับนี้มีความไม่ครอบคลุมและไม่ชัดเจนเท่าที่ควรโดยมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ท้องถิ่นเข้าใจพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่เนื่องจากเรื่องร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นหากสคบ. สามารถทำให้ภาคท้องถิ่นเข้าใจและมอบอำนาจให้ท้องถิ่นระดับภูมิภาคดูแลกันเองโดยที่ไม่ต้องส่งเรื่องมายังสคบ. กลางโดยตรงจะเป็นเรื่องที่ดีมากแต่สคบ. กลางยังต้องเป็นหลักเพื่อเป็นระเบียบในทิศทางเดียวกันส่วนเรื่องกรรมการบริหารนั้นจะไม่มีเลขาธิการอย. มาดำรงตำแหน่งด้วยจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
นอกจากนี้นายบรรยงค์ ยังกล่าวถึงการทำงานของสื่อมวลชนด้านการคุ้มครองผู้บริโภคว่างานข่าวคืองานที่ต้องทำหน้าที่ดูแลความเป็นไปของสังคมเพราะฉะนั้นนักข่าวจะทำข่าวเชิงเดียวหรือข่าวที่มีข้อมูลเพียงผิวเผินไม่ได้จะต้องทำข่าวเชิงลึกเชิงสืบสวนด้วยเพราะงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับประชาชนทุกคนและหากสื่อมวลชนทำข่าวที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคเชิงลึกหรือเชิงสืบสวนก็จะทำให้ประชาชนสามารถติดตามข่าวสารและได้รับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นรวมถึงยังเป็นประโยชน์กับประชาชนที่เป็นผู้บริโภคด้วย