ฐานโซไซตี : ฝัน "บิ๊กตู่" เป็นจริง? พลังประชารัฐฉายแวว ตีตั๋วสู่ทำเนียบฯ

03 ธ.ค. 2561 | 13:14 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ตู่ฝัน-2 4DQpjUtzLUwmJZZPEbTBr0WDKomOlBYdhqmESj8qNHpA “สังศิตโพลล์” หรือการสำรวจความคิดเห็นประชาชน(ทำโพลล์) ที่มี ศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสำรวจความนิยมของมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผู้ควบคุม ซึ่งได้สำรวจประชาชน 8,000 ตัวอย่าง ใน 350 เขตเลือกตั้งส.ส.ทั่วประเทศ ครั้งล่าสุดนี้ พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนักการเมืองที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกฯ มากที่สุด 27.06% ตามด้วยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 18.16% อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 15.55% ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 9.68% อนุทิน ชาญวีรกูล 2.26% และอื่นๆ ที่เหลือ 27.30%

[caption id="attachment_356552" align="aligncenter" width="503"] สังศิต พิริยะรังสรรค์ สังศิต พิริยะรังสรรค์[/caption]

ศ.ดร.สังศิต ชี้ผลสำรวจทำให้เห็นว่าความนิยมของเครือข่ายพรรคไทยรักไทย ที่กลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร มีความนิยมลดน้อยลง มาจากปัจจัยความแตกแยกภายในของพรรคเพื่อไทย ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกต่อไป อีกทั้งบุคลากรนักคิด นักเขียน เอ็นจีโอ ของพรรค กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามไปหมดแล้ว ทำให้ไม่มีการทำนโยบายใหม่ๆ ที่โดนใจประชาชนออกมา ขณะที่นโยบายที่โดนใจคนที่เคยทำคือ “30 บาทรักษาโรค” กับ “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่งไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องนำไปใช้ทั้งนั้น มาวันนี้ พรรคพลังประชารัฐ ได้ทำนโยบาย “บัตรคนจน” ซึ่งมีขอบเขตให้ประโยชน์คนจนอย่างกว้างขว้าง โดยรวมเอานโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ผนวกรวมเข้ากับนโยบายอื่นๆ เช่น เบี้ยคนชรา ค่าโดยสารผู้ป่วย พบว่าเป็นนโยบายที่เอาชนะใจกลุ่มคนจนจำนวน 11 ล้านคน มากขึ้นอย่างรวดเร็ว “พูดง่ายๆ บัตรคนจนเอาชนะ 30 บาทรักษาทุกโรค แบบไม่เห็นฝุ่น วาทกรรมเรื่อง 30 บาทของ ทักษิณ ที่พูดมาตลอด มาถึงจุดที่แพ้แล้ว คนรู้สึกว่าบัตรคนจนเป็นประโยชน์มากกว่า”

[caption id="attachment_356550" align="aligncenter" width="335"]  เพิ่มเพื่อน [/caption]

อีกมุมหนึ่ง สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ออกมาวิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์การย้ายพรรคของนักการเมือง ซึ่งพบ พรรคพลังประชารัฐ มีอดีต ส.ส. และนักการเมืองย้ายเข้าสังกัดจำนวนมาก เมื่อพิจารณาคุณสมบัติและเกรดของผู้สมัครที่ย้ายเข้าสังกัด เชื่อว่าจะทำให้พลังประชารัฐ ได้ ส.ส.ประมาณ 130 ที่นั่ง โดยพิจารณาได้จากอดีต ส.ส.เขตที่ย้ายสังกัดและเป็นระดับเกรดเอ ประมาณ 50 เขต และอีก 300 เขตที่เหลือซึ่งไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนนิยมเฉลี่ยที่ 20,000 คะแนน เมื่อรวมคะแนนจากเขตที่ไม่ได้ ส.ส.ทั้งหมด จะได้เท่ากับ 6 ล้านเสียง และเมื่อนำมาหารคะแนนเฉลี่ยที่จะได้ ส.ส. 1 คน ต่อ 70,000 คะแนน จะทำให้ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อประมาณ 80 ที่นั่ง

[caption id="attachment_356553" align="aligncenter" width="365"] สติธร ธนานิธิโชติ สติธร ธนานิธิโชติ[/caption]

ขณะที่สถิติในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทย ได้ ส.ส. 200 ที่นั่ง มีคะแนนเลือกตั้งเฉลี่ยต่อเขตที่ 5.1 หมื่นคะแนน มีคะแนนรวมทั้งประเทศ ที่ 10.5 ล้านคะแนน ถือว่าตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยที่จะได้ ส.ส.ตามระบบใหม่ ที่ 70,000 คะแนน หากพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.เขตแล้ว คะแนนที่แพ้เลือกตั้งจะไม่พอที่จะไปทบเพื่อหา ส.ส.บัญชีรายชื่อ หมายถึงว่าแพ้แล้วแพ้เลย ดังนั้นพรรคที่แตกหน่อคือ เป้าหมายของการเก็บคะแนนสะสมส.ส.บัญชีรายชื่อ คาดว่าจะได้คะแนนรวมและแปลงเป็นที่นั่งในสภา 50 ที่นั่งรวมกัน ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล แต่จะอยู่ยาวหรือไม่ต้องพิจารณาจากพรรคที่มาร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคอันดับ 2, 3 ถือว่ามีอำนาจต่อรองสูง

“ผมเชื่อว่าหากพรรคพลังประชารัฐ สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ อีกสมัยแน่นอน” นั่นคือบทสรุปจากนักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า
02-3423-021261-1834 ขณะเดียวกัน “ว.เชิงดอย” ได้มีโอกาสไปนั่งฟังการเสวนาของผู้ที่คลุกคลีอยู่กับตลาดทุน ตลาดหุ้น ในงาน “5 อรหันต์หุ้น หุ้น 5 อรหันต์ ลงทุนให้รวย” ที่ “ฐานเศรษฐกิจ” จัดขึ้น บางคนไม่ได้ตื่นเต้นมากนักกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เพราะพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯต่ออีกสมัย มี “250 เสียง ส.ว.” ตุนอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้วหาเสียงส.ส.อีกไม่เท่าไหร่ ก็จัดตั้งเป็นรัฐบาลได้แล้ว
1543842761827 “ว.เชิงดอย” ต้องขอแสดงความยินดีกับสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในองค์กรใหญ่อย่าง “เจ้าจำปี” สายการบินแห่งชาติในยุคของประธานบอร์ด ที่ชื่อ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และ ก.ก.ผอ.ใหญ่ (ดีดี) สุเมธ ดำรงชัยธรรม จะเรียกว่า “คู่หู DUO” ยังได้เพราะทำงานเข้าขากัน แต่ละวันน่าจะคุยกันหลายรอบเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งมุ่งรณรงค์ส่งเสริมธรรมาภิบาลอย่างเป็นระบบทั่วทั้งองค์กร!! โดยมี สุวิมล บัวเลิศลูกหม้อเก่าแก่ บอสใหญ่สายทรัพยากรบุคคล ที่คอยรับไม้ต่อ เปรียบเสมือนการขายของที่ดีอยู่แล้ว และมีอยู่จริงในคู่มือกำกับดูแล เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับพนักงานทุกคนเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายและทำให้ “การบินไทย” เติบโตอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายและนโยบายของประธานกรรมการบริษัท

ล่าสุดข่าวดีที่ปิดไม่มิดก็คือจากการประกวดผลการประเมินด้านการรายงานการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2561 โดยสถาบันไอโอดี และตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) ได้รับคะแนนประเมินอยู่ในระดับ “ดีเลิศ” หรือได้เครื่องหมายสูงสุดคือ “5 ดาว” จากคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ... ขอปรบมือดังๆ!!

| คอลัมน์ : ฐานโซไซตี
| โดย : ว.เชิงดอย
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3423 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 2-5 ธ.ค.2561
595959859