กระเช้าภูกระดึง ทำไมจะไม่ทำ l โอฬาร สุขเกษม

28 ก.พ. 2559 | 10:37 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2559 | 15:42 น.
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บอกว่า รัฐบาลจะเดินหน้าสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ตามที่องค์การบริหารพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเสนอ เพราะมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ คือ สามารถสร้างรายได้และสร้างงานให้กับคนในพื้นที่ และสำรวจมาแล้วพบว่าประชาชนในจังหวัดเลย 99.99 % เห็นด้วยเพราะเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและสร้างรายได้มหาศาล เงินลงทุนในโครงการจะใช้ประมาณ 633 ล้านบาท โดยแบ่งใช้งบประมาณออกเป็น 3 ปี ปีละ 200 ล้านบาท ส่วนผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาที่ตามมานั้น มีการศึกษาเป็นอย่างดีแล้ว รอเพียงผลพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน หากผ่านความเห็นชอบ คาดว่าจะใช้เวลา 2 – 3 ปี ก่อสร้างให้แล้วเสร็จ การก่อสร้างกระเช้าจะใช้พื้นที่แต่ละจุดน้อย และจะไม่บดบังทัศนียภาพของภูกระดึง

ประเด็นสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงนี้มีผู้คนออกมาแสดงความคิดเห็นมากมาย บังเอิญได้เห็นแต่ข่าวจากกลุ่มที่ไม่เอาด้วย ซึ่งก็ประเด็นเดิมๆ นั่นหละครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนผมก็เห็นค้านที่จะสร้างกระเช้า เพราะเราติดยึดอยู่กับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ อยากให้ทุกอย่างเป็นไปแบบธรรมชาติ คนจะขึ้นภูกระดึงก็ต้องเดินขึ้นไปเอง หรือจะจ้างลูกหาบหรือคนแบกหามก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ความคิดผมได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว หลังจากเห็น “เขาใหญ่” วินาศมากับตา ป่ากับความเจริญแบบสุดๆ อยู่ติดกัน แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายกับความเป็นอุทยานแห่งชาติ ความเจริญเข้าไปล้อมป่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่ไม่รู้ว่า “บรรพบุรุษ” ของเขาเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน

เมื่อก่อนเคยอ่านแต่ในหนังสืออาถรรพณ์ในดงดิบดงพญาเย็นของคุณชาลี เอี่ยมกระสินธ์ สภาพเป็นแต่ป่ารกชัฏ เดี๋ยวนี้ไปเขาใหญ่ไม่ต่างอะไรกับไปเที่ยวพัทธยา ซึ่งก็ต้องปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ก็ขนาดเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย และได้รับสมญานามว่าเป็นอุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่า เป็นอุทยานแห่งชาติที่สำคัญของโลก ซึ่งได้รับความร่วมมือและช่วยเหลือจาก Dr. George C. Ruhle ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุทยานแห่งชาติของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติก็ยังเป็นได้อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ แล้วภูกระดึงซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 2 ต่อจากเขาใหญ่จะปล่อยให้เป็นเช่นเดิมหรือ ....ข้อนี้น่าคิด ครับ
ผมว่าในสังคมที่มีคนเป็นพันล้านคนน่าจะบ่งบอกทิศทางได้ คือ “จางเจียเจี้ย” เมืองอุทยานแห่งชาติในมณฑลหูหนาน ภาคใต้ของจีน รวมทั้งดอย "เซี่ยจ้าน" สถานที่ติดกันและมีกระเช้าทันสมัยไว้บริการขึ้นไปชมบนดอยอย่างใกล้ชิด น่าจะเป็นต้นแบบของแนวคิดทำกระเช้าขึ้นเขายุคใหม่ ความจริงแล้วทั่วโลกหล่ะครับที่เขาทำกระเช้าขึ้นเขา ส่วนใหญ่เรารู้จักในนาม “กระเช้ากอนโดล่า”

“จางเจียเจี้ย” มียอดสูงสุดสูงประมาณ 1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีพื้นที่ประมาณ 190 ตารางกิโลเมตร บนยอดเขาเป็นป่าดิบที่อุดมสมบูรณ์ รัฐบาลจีนพัฒนาที่นี่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแหล่งใหม่เริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 2545 ใช้เงินลงทุนไปกว่า 2,700 ล้านบาท และปัจจุบันการติดตั้งกระเช้าลอยฟ้าใหม่แล้วเสร็จ เป็นกระเช้าที่นำเข้าจากสาธารณรัฐเช็ค หนึ่งกระเช้านั่งได้ 6-8 คน หันหน้าเข้าหากัน รูปทรงคล้ายแค๊ปซูล ระบบความปลอดภัยและสายพานสลิงค์ยอดเยี่ยม จะเคลื่อนตัวตลอดเวลา เปิดให้บริการตั้งแต่เช้าจรดเย็น ระยะทาง 7.5 กิโลเมตร

IMG_8877 ลานขึ้นกระเช้าตั้งเด่นอยู่ใจกลางเมือง พื้นที่ความเจริญ และกว้างขวาง เข้าคิวรอขึ้นกระเช้าไม่ต่ำกว่า 1-2 ชั่วโมงในช่วงเวลาปรกติ แต่วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันชาติจีน วันปีใหม่จีน อย่างนี้รอไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง กระเช้าตอนแรกจะลอยข้ามถนน ข้ามบริเวณตึกลามบ้านช่อง ข้ามไร่นาเรือกสวนชาวบ้าน แล้วข้ามเขาเป็นลูกๆ ไปสู่ปลายยอดเขาจะใช้เวลารวมประมาณ 20 นาทีบนระยะทาง 7.5 กิโลเมตร เสากระเช้าก็เทคอนกรีตธรรมดา มีหลายช่วงไต่ขึ้นสู่ยอดเขาอย่างสูงชันมากๆ ใช้เฮลิค็อปเตอร์ช่วยยกขนถ่ายวัสดุและปักเสากลางป่า บริเวณริมผาเขาที่แทบไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะมีปัญญาปีนขึ้นไปตั้งเสาได้ แต่ก็ทำได้ครับ

จีนใช้เวลาก่อสร้างระบบกระเช้าไม่ถึงหนึ่งปีก็แล้วเสร็จ และเขาใช้ชื่อเรียก “กระเช้ากอนโดล่า” (เหมือนกระเช้าที่ประเทศนิวซีแลนด์) เป็นพื้นที่สัมปทานให้เอกชนดำเนินการ ตั้งแต่สร้างกระเช้า จัดหารถบริการพานักท่องเที่ยวนั่งรถเลาะขึ้นภูเขาไปเยี่ยมชมประตูสวรรค์ (เขาอีกลูกที่อยู่ติดกัน) การเที่ยวที่นี่จะมีกระเช้าบริการสู่ยอดเขา บนดอย"เซี่ยจ้าน" นั้นมีทางเดินเท้าเทปูนริมหน้าผา ระยะทางหลายร้อยเมตร บางช่วงเป็นทางเดินกระจกใส เพื่อชมทิวทัศน์โดยรอบ หรือมองเบื้องต่ำ งดงามมากๆ การเที่ยวเขาชมดอยที่นี่ไม่ให้ค้างคืนครับ ไม่เหมือนภูกระดึงที่สามารถกางเต้นท์ปักหลักค้างคืนได้

ดอยข้างๆ กับดอย “เซี่ยจ้าน” คือ ดอยหรือเขา"เทียนเหมินซาน" เป็นปลายยอดเขาทะลุ เลยเรียกว่า "ประตูสวรรค์" ขนาดใหญ่โตมโหฬาร ระดับความสูงของดอยประมาณ 1,518 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จะมาที่นี่ต้องขึ้นกระเช้ากอนโดล่าไปสู่ยอดเขาอีกลูกที่อยู่ข้างๆ เสียก่อน ไปเดินเที่ยวให้สมใจ จากนั้นค่อยลงกระเช้ามาแวะกลางทางที่สถานี "จงจ้าน" ขึ้นรถบัสเล็กไปต่อ จะขับขึ้นเขาอีกลูก ถนนก็อย่างที่เห็นในภาพนั่นหล่ะ เลาะขอบเขา ตัดเจาะภูเขา ถนนก็เล็กแคบมากพอแล่นสวนทางกันได้ เลาะไปตามไหล่เขา IMG_8935 บางช่วงมุดเข้าอุโมงค์ นั่งรถเกือบครึ่งชั่วโมงจะถึง "ฐาน" ซึ่งมีบันไดไปสู่ "ประตูสวรรค์" เขาเรียกว่า "บันได 999 ขั้น" ใช้เวลาเดินขึ้น 20 กว่านาทีหากเดินเก่ง หรือไม่ก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปก็ได้ เสียเงินอีก 37 หยวน ขึ้นบันไดเลื่อนนาน 22 นาทีก็ถึง บันไดเลื่อนนี้เขาเจาะภูเขาเอาครับ ไม่ได้เห็นจากภายนอกแต่อย่างใด ระบบบันไดเลื่อนนี้เขาทำได้เก่งมากๆ ครับ ส่วนที่เมือง “จางเจียเจี้ย” มรดกโลกด้านธรรมชาติ หุบเขาแปลกประหลาดอย่างที่เป็นต้นแบบภาพกราฟิคในภาพพยนต์เรื่อง “อวตาร” นั้น ที่นั่นนอกจากมีทางเดินป่า เดินครึ่งค่อนวันค่อยถึงจุดชมวิวต่างๆ หรือจะขึ้นทางลิฟท์ก็ได้ แต่คิวยาวโดยปรกติรอคิวประมาณ 3 ชั่วโมง ครับ เขาทำเป็นลิฟท์แก้วขึ้นสู่ยอดเขา ก็ดูแปลกไปอีกอย่างหนึ่ง จะว่าทำลายทัศนียภาพก็ใช่ แต่เขาก็ทำเพื่อให้คนโดยสารตื่นตาตื่นใจในการชม ลิฟท์ลง-ขึ้นเขานั่นที่ประเทศญี่ปุ่นเขาทำมาราว 30 กว่าปีแล้ว จากชั้นบนสู่ชั้นล่างของน้ำตก เป็นลิฟท์ซ่อนในภูเขาไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า ทางเดินป่าในมรดกโลกธรรมชาติของจีนแห่งนี้ เขาทำทางเดินอย่างดีครับ ไม่ใช่
ทางเดินที่ปล่อยให้เกิดขึ้นจากการเดินย่ำเท้าของคน
มีเจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลเป็นระยะเพื่อไม่ให้ผู้คนลุกล้ำเข้าไปในเขตป่า

IMG_8899
กลับมาที่ดอย "เทียนเหมินซาน" หรือประตูสวรรค์ นอกจากจะขึ้นเขาโดยทางกระเช้ากอนโดล่าแล้ว สามารถใช้รถยนต์โดยสารขึ้นไปก็ได้ครับ แต่เขาไม่ให้ขับรถขึ้นไปเองเพราะไม่มีความชำนาญนั่นเอง ข้างบนที่ชั้นฐานเขาจะทำลานจอดรถโดยสารกว้างขวาง มีร้านอาหาร ห้องสุขาไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว และทำหลังคากระจกใสเพื่อให้คนเดินเสียวเล่นๆ ครับ ค่าบริการขึ้น-ลงกระเช้ารวมทั้งค่าโดยสารรถยนต์แยกทางไปขึ้นประตูสวรรค์รวมแล้ว ค่าบริการทั้งหมด 290 หยวนหรือ 1,550 บาท/คน ครับ

ทีบอกเล่ามานี้ก็เพื่อจะบอกว่า ถ้าคุณตัดสินใจปรับปรุงสภาพภูกระดึงนิดหน่อยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้วละก้อ ก็ต้องเสียบางอย่างบ้าง ความจริงผมว่าคิดจะสร้างกระเช้าที่ภูกระดึงระยะทางพอๆ กันกับกระเช้าขึ้นดอย “เซี่ยจ้าน” ผมว่าไม่ใช่ใช้เวลา 3 ปี ครับ น่าจะไม่เกิน 1 ปีก็แล้วเสร็จ ยกเว้นจะทำด้วยเทคโนโลยี่เก่าๆ ให้คนแบก ให้คนหาม อย่างนี้ 5 ปีก็ไม่เสร็จ จีนเขาทำไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย

ดูตามแผนของรัฐแล้วเขาจะทำทางขึ้นคนละที่กับที่นักท่องเที่ยวใช้อยู่ครับ คนชอบท่องเที่ยวแบบเดิมก็สามารถเดินเท้าขึ้นเขาแบบเดิมได้ หรือต้องการความสะดวกสบายก็ขึ้นกระเช้าไป แล้วก็ทำทางเดินชมบนภูกระดึงเพียงบางส่วนที่เป็นไฮไลท์ก็พอ หากจะพักค้างแรมก็ต้องปรับปรุงสภาพใหม่ให้เป็นแบบเขาใหญ่ มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเอาไว้ตายตัว แต่ผมว่าต้องทำให้กว้างขวางกว่าที่เขาใหญ่เป็นเท่าๆ ตัว มีสาธารณูปโภคครบครัน มีข้อสังเกตว่าที่จีนนั้นมีระบบเก็บขยะที่ไม่ดีพอครับ เพราะคนรอคิวขึ้นกระเช้ายาวนานติดต่อกัน 2-3 ชั่วโมง ถังขยะจึงเต็มทุกถังและไม่เห็นเจ้าหน้าที่หมุนเวียนกันมาเก็บขยะ ทำให้สกปรกอย่างไม่น่าอภัย เราต้องมีระบบการจัดการขยะที่ดีพอ รวมทั้งการจัดการขยะบนภูกระดึงด้วย

ความเป็นไปได้ของธุรกิจจะเกิดขึ้นกับจังหวัดเลยก็คือ จะมีโรงแรมเกิดใหม่ขึ้นอีกแน่นอน รวมทั้งสถานบริการท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะบริเวณทางขึ้นหรือใกล้กับสถานที่ตั้งกระเช้าขึ้นภูกระดึง ระบบขนส่งจะต้องมีการพัฒนาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถเที่ยวภูกระดึงได้ปีละ 8 เดือน อื่นๆ เราก็ได้เห็นตัวอย่างของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาใหญ่มาแล้ว ภูกระดึงก็น่าจะเจริญเติบโตตามในทิศทางเดียวกัน

หากจะวิจารณ์แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของไทยไม่ว่าจะเป็นเขาใหญ่หรือภูกระดึง ผมว่าความน่าสนใจอยู่ระดับธรรมดา พื้นๆ ไม่ได้อลังการงานสร้างเหมือนกับประเทศอื่น โดยเฉพาะเปรียบอะไรไม่ได้กับประเทศจีนเลย แต่เราก็ภูมิใจที่เรามีหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านี้ก็ดีแล้ว ไม่ต่างอะไรกับที่เราภูมิใจฝีไม้ลายมือในการแกะสลักไม้ของไทยเป็นของล้ำค่านั่นหล่ะครับ ถ้าเราไปเห็นที่อื่นเราจะรู้ว่าเรายังด้อยในฝีมือขนาดไหน แต่เราก็ยังขายของเราได้ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี

เรื่องมารยาทของนักท่องเที่ยวนั้นผมว่าอย่าไปตราหน้าเป็นชาตินั้นชาตินี้เลยครับ ผมไปเมืองจีนบ่อยครั้งแล้วก็ได้เห็นว่าคนจีนเขาพยายามจะทำตามหลักสากล แต่คนแหกกฎก็มักจะเกิดขึ้นเสมอ เรื่องแซงคิว ก็เห็นคนจีนทะเลาะจนจะต่อยกันมีเรื่องมีราวทั้งๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลเสียด้วยซ้ำ

ผมว่าถ้ามีคนสนใจที่จะลงทุนสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง ก็ทำไปเลยครับ เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่จะได้มีโอกาสชื่นชมธรรมชาติบนภูกระดึงอย่างถ้วนทั่ว แต่ต้องระมัดระวังการกับกับดูแลให้การพัฒนาอย่างมีขอบเขตจำกัดระหว่างอุทยานแห่งชาติกับสิ่งใหม่ที่จะเข้าไป ครับ อย่างน้อยต้องดูแลให้ดีเหมือนกับเขาใหญ่แต่ก็ต้องทำให้โดดเด่นกว่าเขาใหญ่ด้วยความพรั่งพร้อมทุกประการสำหรับนักท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ครับ