เหล้าเถื่อนทะลักรับอัตราภาษีใหม่ลุ้นคลังไม่ปรับ

24 ก.พ. 2559 | 10:00 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.พ. 2559 | 17:05 น.
จับตารัฐจ่อรีดภาษีน้ำเมา "ส.ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์" ชี้กระทบตลาดเบียร์มากสุด หากปรับจริงต้องมีวัตถุประสงค์และมาตรการป้องกันชัดเจน หวั่นสุราหนีภาษีและเลียนแบบทะลักเข้าตลาด แนะแก้ปัญหาตามโครงสร้างราคาไวน์ ฟาก ก.คลัง ชี้การปรับภาษีเป็นเรื่องอ่อนไหว มีผลต่อการกักตุนสินค้า เป็นเหตุต้องปรับขึ้นทันทีไม่ส่งสัญญาณเตือน

นายธนากร คุปตจิตต์ ประธานสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเทศไทย (Thai Alcoholic Beverage Business Association: TABBA) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การปรับอัตราภาษีใหม่จะส่งผลกระทบต่อตลาดเบียร์เป็นหลัก เพราะมีสัดส่วนสูงราว 60% ของตลาดรวมหรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นสุราขาว และสุราสี รวมถึงไวน์ และเหล้านอก ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 1% อย่างไรก็ดี หากกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลให้ต้องปรับราคาสินค้าขึ้น ส่วนจะปรับขึ้นเท่าใดจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่ปรับเพิ่ม

การที่รัฐบาลจะปรับขึ้นภาษีจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ว่าต้องการอะไร หากต้องการให้มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มก็อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะจากการปรับขึ้นภาษีที่ผ่านมา พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่เมื่อสินค้าปรับขึ้นราคา จะเลือกเทรดดาวน์ คือการหันไปเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูกจากการนำเข้าแบบไม่ถูกกฎหมาย หรือสินค้าหนีภาษีนั่นเอง นอกจากนี้บางรายจะเลือกซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีราคาถูก แต่มีรสชาติใกล้เคียงกันแทน

อย่างไรก็ตามหากการจัดเก็บอัตราภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อให้สินค้ามีราคาแพงเป็นการป้องกันหรือลดปริมาณการบริโภคของเยาวชนคนรุ่นใหม่ จะพบว่าที่ผ่านมาแม้รัฐบาลจะมีการปรับขึ้นภาษี ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่อัตราการดื่มของนักดื่มรุ่นใหม่ก็เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ลดลงอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้

"ปัจจุบันโครงสร้างภาษีสุรา วิสกี้ ของไทยแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านมาก ส่งผลให้มีราคาสูงกว่า เช่น จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ก เลเบิลปกติราคา 1.3-1.4 พันบาทต่อขวด หากเป็นสินค้าหนีภาษีจะมีราคาเพียง 750 – 800 บาทเท่านั้น หากปรับราคาให้สูงขึ้นอีก ช่องว่างขอราคาก็จะทำให้นักดื่มเลือกซื้อสินค้าหนีภาษีเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย"

อย่างไรก็ตามหากมีการปรับขึ้นภาษีสุราจริงคาดการณ์ว่าน่าจะมีโอกาสในการปรับขึ้นสูงในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้บริโภคเลือกเทรดดาวน์การดื่มสินค้าที่มีราคาถูกแล้ว ส่วนหนึ่งอาจจะหันไปเลือกซื้อสินค้าหนีภาษีแทน ซึ่งส่วนนี้รัฐบาลก็มีมาตรการในการป้องกันอยู่แล้ว แต่จะควบคุมอย่างไรให้ได้ผลมากกว่า เนื่องจากในช่องทางตะเข็บชายแดนถือเป็นช่องทางที่ป้องกันได้ยาก

"มองว่าแนวทางการป้องกันสินค้าหนีภาษีที่จะเกิดขึ้น อาจจะต้องใช้แนวทางในการแก้ไขเหมือนเช่นในกรณีของไวน์นำเข้าคือการปรับโครงสร้างภาษีให้ลดลงแล้วเพื่อให้ราคาไวน์ลดลง และสามารถแข่งขันกับกลุ่มสินค้าหนีภาษีได้ ซึ่งจะทำให้ช่องว่างด้านราคาไม่ต่างกันมาก ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาดื่มสินค้าที่ถูกกฎหมายและท้ายที่สุดก็จะส่งผลให้สินค้าหนีภาษีเข้ามาในระบบมากขึ้น"

แหล่งข่าวจากร้านสิงห์ทอง ร้านค้าปลีกและค่าส่ง ย่านตลาดศิริวัฒนา ถนนช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าไม่ว่าสินค้าใดจะมีการปรับราคาขึ้นก็ไม่สามารถที่จะสั่งสินค้านั้นมาตุนไว้จำหน่ายได้ อย่างที่ผ่านมา บุหรี่มีการปรับราคาขึ้นมาซองละ17-18 บาท ก่อนจะมีการปรับราคาขึ้นบุหรี่ก็ขาด ไม่มีขาย โทร.สั่งก็ไม่รับสายแต่ปรับขึ้นราคา ส่วนสุรา เบียร์วันนี้ก็สั่งได้ตามโควตาที่มี ไม่สามารถสั่งเพิ่มได้

ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะสามารถสั่งเพิ่มได้ก็ตามแต่ต้องซื้อเงินสด เราก็ไม่มีเงินพอที่จะซื้อมาตุนได้ ถ้าเอาเงินแบงก์มาหมุนเพื่อตุนสินค้าไว้ ก็ไม่คุ้มกับดอกเบี้ย เราต้องเอาเงินสดที่มีซื้อมาขายไป เช่น สุราขาว 35 ดีกรี เฉลี่ย 5-6 ลังต่อเดือน แสงโสม หงส์ทอง สุรานอกก็ขายน้อย ไม่มียกลังขายเป็นขวด เบียร์เฉลี่ย 300-400 ลังต่อเดือนขายดีสุดจะเป็นช้างและลีโอ ส่วนสิงห์กับไฮเนเก้นจะขายได้น้อยดังนั้นการที่จะมีการปรับราคาสุรา หรือเบียร์ ขึ้นก็ต้องไปปล่อยให้เป็นไปตามนั้น จะตุนไว้ก็ถือเป็นการเสี่ยงในการลงทุน คงต้องมีการปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด

ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงทิศทางการมอบนโยบายให้แก่ข้าราชการกรมสรรพสามิต ว่า โดยเรื่องที่ต้องทำเร่งด่วน คือ การทำฐานข้อมูลร่วมระหว่าง 3 กรมจัดเก็บภาษี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตรวจสอบตลอดจนการจัดเก็บให้คล่องตัวมากขึ้น รวมทั้งกำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มในสินค้าบางรายการที่มีความจำเป็น อาจต้องจัดเก็บเพิ่มขึ้นมากกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ vat ที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหากเป็นสินค้าที่ขึ้น Vat แล้วจะกระทบกับคนส่วนใหญ่จะให้สามารถปรับขึ้นในภาษีสรรพสามิตได้ รวมถึงการเข้มงวดในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าที่มีการปรับเพิ่มภาษี เนื่องจากเมื่อมีการปรับขึ้นภาษีจะทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าสินค้าสูงขึ้น

ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาถือว่า เป็นหน่วยงานที่สามารถจัดรายได้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ระหว่าง 3 กรมที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีของกระทรวงการคลัง พร้อมมอบหมายให้กรมสรรพสามิตวางแผนการจัดเก็บภาษีให้ได้ 8 แสนล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 4.9 แสนล้านบาท โดยให้เสนอเเผนการจัดเก็บภาษีต่อปลัดกระทรวงการคลังพิจารณาภายใน 2 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งอาจเป็นการเก็บภาษีเพิ่มในหมวดสินค้าที่กระทบกับสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากขณะนี้มีสินค้าหลายตัวที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น น้ำตาล เนื่องจากหากปรับขึ้นภาษีแน่นอนว่าจะต้องกระทบกับผู้บริโภค

ขณะเดียวกันยังต้องศึกษาผลว่า การบริโภคน้ำตาลส่งผลต่อสุขภาพ เพราะมีการ ศึกษาว่าน้ำตาลมีส่วนทำลายสุขภาพ(โรคอ้วน)โดยเป็นหมวดภาษีที่อยู่ใน 5 กลุ่มสินค้าที่สามารถปรับขึ้นได้ ส่วนภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั้นยังไม่มีการระบุได้อย่างชัดเจน ซึ่งยอมรับว่าเป็นสินค้าอีกตัวที่สามารถปรับขึ้นได้ เนื่องจากอยู่ในกลุ่มที่ทำลายสุขภาพ ขณะที่การปรับขั้นภาษีก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทันที แต่ทั้งนี้การปรับขึ้นต้องประเมินว่า ปรับขึ้นแล้วจะมีความคุ้มกับภาษีที่ได้เพิ่มขึ้นหรือไม่

"หากถามถึงเรื่องการขึ้นภาษีแล้ว เป็นความลับ ไม่มีใครที่ออกมาให้ข่าวก่อน เพราะภาษีสรรพสามิตเป็นเรื่องอ่อนไหว มีผลต่อการกักตุนสินค้า จะรู้ก็ต่อเมื่อประกาศ ที่ผ่านมากรมสรรพสามิตก็ทำได้ดีไม่มีข่าวแพร่งพรายออกมา ทำงานอย่างมืออาชีพ ดังนั้นสิ่งที่จะต้องเน้นเพิ่มขึ้นคือ การเตรียมกำลังคน เพื่อรองรับการทะลักหรือลักลอบนำสินค้าเข้ามา เพราะการที่ภาษีปรับขึ้นถ้าผลตอบแทน หรือมีส่วนต่างกันสูงก็จะจูงใจให้เกิดการลักลอบมากขึ้นโดยเฉพาะด้านชายแดน"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559