ฮือฮาไม่เบาสำหรับการประกาศแผนเดินหน้าเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลท.ของ
“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ของ “เนวิน ชิดชอบ” ถือเป็น
“ปรากฏการณ์ใหม่” ของแวดวงตลาดทุนจริง ๆ ที่บริษัทในธุรกิจ
“สปอร์ต เอ็นเตอร์เทนเมนต์” กำลังจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของโรงละครแห่งความฝัน
แต่เมื่อได้เห็นชื่อแม่ทัพของบริษัท
“เนวิน ชิดชอบ” แล้วก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก กับประสบการณ์มากมายทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นจนถึงการเมืองระดับประเทศ และยังความสำเร็จในการสร้างกระแสบอลไทยลีกให้ได้รับความนิยมสุด ๆ กว่า 4 ปีที่ผ่านมาร่วมกับสมาคมฟุตบอลไทย
เมื่อ “ประธานเนวิน” ระบุว่า “สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” คือ “แบรนด์” (Brand) เราก็ไม่ควรต้องสงสัย เพราะฝีมือและความสามารถด้านการตลาด ด้านการสร้างภาพลักษณ์ สร้างอัตลักษณ์ ของ “เนวิน ชิดชอบ” ที่ไม่เป็นรองใครแน่นอนในยุทธจักร
แต่แอบสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าในเมื่อสโมสรส่วนใหญ่ในประเทศไทยบริหารขาดทุนยับกันแทบทุกราย แต่ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ที่ทุ่มเงินมากมายในทุก ๆ เรื่อง รวมถึงการซื้อตัวนักเตะกลับมี “รายได้มากเกินเพื่อนๆ”
พี่น้องประชาชนหลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ธุรกิจสโมสรฟุตบอลขาดทุนแล้วทำไปทำไม? แล้วทำไมเจ้าของสโมสรฟุตบอลส่วนใหญ่ในแต่ละจังหวัด คือเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่น?
ก็เพราะมันไม่ใช่ธุรกิจปกติไงเจ้าคะ มันคือธุรกิจแฝงเพื่อกระแสมวลชนในหลาย ๆ กรณี คือธุรกิจเพื่อ “รักษาฐานเสียง” และ เพื่อสร้าง “ความนิยมชมชอบ” (Popularity) ของตนเองระดับท้องถิ่น ดังนั้นเจ้าของหลายสโมสรจึงคิดว่า “ขาดทุนช่างมัน”
ผู้ที่เป็น
“เซียนเหนือเมฆ”...
“เหยียบหิมะไร้ร่องรอย” อย่าง
“เนวิน ชิดชอบ” เท่านั้น จึงสามารถคิดสูตรกระบวนท่า
“ยัดนอกเข้าใน” และ
“ดันเข้าในตลาด” ได้
แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้จริงๆ เมื่อลองค้นงบการเงินดูก็พบว่า “รายได้” ของ “สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” มีมากกว่า “สโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” อยู่กว่า 35% หรือ 558 ล้านบาท และ 750 ล้านบาท ในปี 2560
ทั้ง ๆ ที่จำนวนแฟนคลับซึ่งคือแหล่งรายได้หลักของสโมสรฟุตบอล (วัดจากยอดผู้ติดตามใน Facebook) ก็ห่างกันเกือบเท่าตัว คือ 2.2 ล้านคน และ 1.5 ล้านคน
แถมราคาเสื้อ “สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ยังถูกกว่า “สโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” อีกกว่า 50% ที่ 990 บาท และ 540-640 บาท
ด้านข้อมูลอันดับสโมสรฟุตบอลของเอเชีย ปี 2560 ที่จัดทำโดย เว็บไซต์ footballdatabase.com ก็พบว่า
“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” อยู่เพียงลำดับที่ 25 ส่วน “สโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” รั้งลำดับที่ 9 ของเอเชีย ขณะที่ราคาบัตรเข้าชมการแข่งขัน ก็ไม่ได้ต่างกันมากที่ 50-200 บาทต่อที่นั่ง
แค่ขี้สงสัย...ด้อยกว่าเกือบทุกอย่างเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ แต่ไฉนรายได้ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” มากกว่า
รายได้จริง รายได้เทียม รายได้สม่ำเสมอ รายได้อุปถัมภ์ หรือ รายได้นอกระบบสู่ในระบบ? อนาคตและผู้บริหารเท่านั้นที่ตอบได้
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ คือ การระดมทุนระดมเงินของพี่น้องประชาชนเพื่อมาเป็นหุ้นส่วนของบริษัท ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลอย่างพิถีพิถัน อย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญของที่ปรึกษาการเงิน (Financial Advisor) และผู้สอบบัญชี (Auditor) ในกรณีนี้คือ “บล.ฟินันเซียไซรัสฯ” และ “บริษัท อีวาย จำกัด”
เมื่อภาพลักษณ์สามารถแปรเปลี่ยน เมื่อผ้าสกปรกสามารถฟอกขาว โอกาสจึงบังเกิดสำหรับผู้กล้า
ดังนั้นหาก “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” เข้าตลาดได้จริง จึงถือเป็น สูตรสำเร็จของเกมการเงินและการตลาดที่สมบูรณ์แบบลงตัวที่สุดที่เคยมีมา...กราบบบบบ
| คอลัมน์ : มารยาตลาดหุ้น
| โดย : คุณนายเผือก
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 17 ฉบับ 3381 ระหว่างวันที่ 8-11 ก.ค.2561
| ขอบคุณภาพ : BURIRAM UNITED