ทางออกนอกตำรา : “สมคิด” ไม่ได้โม้...หุ้นร้อนแรง เพิ่มทุนได้เฮงสุด

06 ม.ค. 2561 | 11:03 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

558455864 52334 ปาฐกถาพิเศษ "โอกาสประเทศไทย 2018" จัดโดยสปริงนิวส์ กรุ๊ป และ นสพ.ฐานเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2560 สัญญาณที่ส่งผ่านออกมาจากปาก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหลายประเด็นที่เริ่มผลิดอกออกผลเร็วตามที่ประกาศไว้อย่างไม่คาดคิด

ดร.สมคิดได้สะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ว่าจะเติบโตต่อเนื่อง และจะผลักดันให้ตลาดทุนคึกคัก

"ปีหน้าเศรษฐกิจจะเทคออฟได้ ยกเว้นว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผมได้บอกใน ครม.แล้วว่า ไตรมาสแรกสำคัญที่สุด ขออย่าให้มีอะไรมารบกวน การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีหน้าขยับขึ้นแน่นอน แล้วจะดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งปีได้จริง และเมื่อเศรษฐกิจโลกปีหน้าก็ดี ภาพที่ดีของเศรษฐกิจจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงตลาดทุน ดังนั้นสิ่งที่จะเห็นคือ ตลาดหุ้นจะร้อนแรง ถือเป็นโอกาสของเอกชนไทยที่จะเพิ่มทุนได้ ซึ่งบรรยากาศจะเอื้อให้เกิดการเพิ่มทุน บริษัทไหนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในปีหน้า หรือเพิ่มทุนได้ในปีหน้าจะเฮงสุดๆ"

ดร.สมคิดประเมินว่า การส่งออกที่ดีขึ้นทำให้ในปีหน้า การผลิตของภาคเอกชนจะปรับตัวดีขึ้น การลงทุนจะเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

25446150_1913653178654228_636055688860567010_n

สัญญาณที่ส่งผ่านออกมาในขณะนั้น ผมเองก็ยังตั้งคำถามอยู่เช่นกันว่า จริงหรือโม้…หรือ ดร.สมคิดสร้าง HOPE สร้างความหวังให้คนไทย เพราะดัชนีหุ้นไทยในปลายปีต่อสู้กันอย่างดุเดือดฝ่าด่าน 1720-1750 จุดได้หรือไม่ แต่สุดท้ายดัชนีปี2560 ปิดที่ 1,753.71 จุด เป็นระดับสูงสุดของปี มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 17,926,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.62%

ในจำนวนนี้มีเม็ดเงินจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนบ้านเราราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน แต่เข้าลงทุนตลาดบอนด์ไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.8 แสนล้านบาท
52332 โดยทั้งปีตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนราว 13.5% แม้ว่าจะไม่สูงนักเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน แต่หากพิจารณาผลตอบแทนในรอบ 2 ปี จะพบว่าหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงถึงราว 36% เป็นสถิติสูงสุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียที่ 2 ปี ทำได้ 35.5% แต่น้อยกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 42% ในรอบ 2 ปีล่าสุด

ผมไปตรวจสอบข้อมูลจากตลาดหุ้นพบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในรอบ 2 ปี พบว่า กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ กลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้นกว่า 96% นำโดยหุ้น IVL, VNT PTTGC

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนรองลงมาคือ กลุ่มค้าปลีก ปรับตัวสูงขึ้น 70% นำโดยหุ้นเล้กหุ้นน้อย ยันหุ้นใหญ่ เช่น BEAUTY, COM7, MEGA, IT, BIG, CPALL, HMPRO, BJC, GLOBAL และ ROBINS

หุ้นในกลุ่มพลังงาน ปรับราคาขึ้นมาถึง 65% นำโดยหุ้นโรงกลั่น ESSO SPRC, IRPC และ TOP ขณะหุ้นน้ำมัน ราคาโดดเด่น PTT และ PTTEP

หุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนก็ขึ้นได้โดดเด่นมาก นำโดย GPSC, BCPG, CKP, EA ส่วนหุ้นน้องใหม่ BGRIM แม้จะเพิ่งเข้าซื้อขายในเดือนก.คงแต่ราคาปรับขึ้นถึง 81%
pic_bg_vision หุ้นกลุ่มขนส่ง ปรับขึ้นมาได้ 60% นำโดย AOT และ THAI

หุ้นกลุ่มธุรกิจการเงิน ราคาบวกขึ้นมา 44% แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง นำโดย BFIT, THANI, AMANAH, JMT, ECL, KTC, MTLS, KCAR, TK, IFS,และ SAWAD

หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้งหมวดราคาบวกขึ้นมา 36% ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง ไล่จาก KKP ใครถือรวยไม่รู้เรื่อง ราคาขึ้นมา 118%, TISCO ราคาหุ้นปรับขึ้นมา 113%, TCAP ราคาขึ้นมาแล้ว 56% หุ้น KBANK ราคาขยับขึ้นมา 56%

ผมลองไปไล่ราคาดูพบว่าในปี 2560 หุ้น 10 อันดับแรกที่ราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด ชนิดที่ใครถือไว้รวยฟ้าผ่า คือ หุ้น RS ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 255.77%  หุ้น ORI ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 241.24%  หุ้น ASIN ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 223.32% , P/E แค่ 12 เท่า หุ้น BFIT ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 217.86% , P/E แค่ 39.53 เท่า หุ้น ECL ราคาเพิ่มขึ้น 114.44% , P/E อยู่ที่ 30.34 เท่า หุ้น AMATA ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 126.09% , P/E อยู่ที่ 15.11 เท่า หุ้น AH ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 115.63% , P/E อยู่ที่ 11.81 เท่า หุ้น COL ราคาเพิ่มขึ้น 114.06% หุ้น SYNEX ราคาเพิ่มขึ้น 111.19% , P/E อยู่ที่ 20.13 เท่า ตัวสุดท้าย คือหุ้น TCB ราคาเพิ่มขึ้น 108.82% แต่ P/E แค่ 5.57 เท่า...ใครรวยหุ้นก็น่ายินดี
88l พอเปิดศักราช ปีจอวันที่ 3 มกราฯ เท่านั้น สัญญาณที่ ดร.สมคิด ส่งผ่านมาก็ระเบิดเถิดเทิง ดัชนี SET Index เปิดซื้อขายวันแรกของปี ทำสถิติใหม่ปิดที่ 1,778.53 จุด ดัชนีปรับขึ้น 24.82 จุด หรือร้อยละ 1.42 จากสิ้นปี 2560 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมสูงสุดเป็น 18.17 ล้านล้านบาท มูลค่าการซื้อขาย 88,076  ล้านบาท

วันที่ 4 มกราฯ ดัชนีหุ้นไทยยังไปต่อปิดที่ระดับ 1,791.02 จุด เพิ่มขึ้น 12.49 จุด ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ตั้งตลาดหุ้นไทยมา 43 ปี จากม.ค. 2537 เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุด 1,789 จุด  มูลค่าซื้อขายหนาแน่นถึง 90,816 ล้านบาท
1515223295693 2 วันสุดท้ายต่างชาติซื้อหนาแน่น  นักลงทุนสถาบันที่คาดว่าจะขายทำกำไรจากที่เคยลงทุนมากลับดาหน้าซื้อติดต่อกันมาเป็นเดือนกว่า 4 หมื่นล้านบาท

ความร้อนแรงของตลาดหุ้นยังต่อเนื่อง ขณะผมเขียนต้นฉบับปิดตลาดภาคเช้าวันศุกร์ที่ 1,791.68 จุด เพิ่มขึ้น 0.66 จุด มูลค่าการซื้อขาย 42,025.68 ล้านบาท ฟันด์แมเนเจอร์ 2-3 คน บอกกับผมว่า ประเมินกันว่าจะต่อสู้กันที่แนวต้าน 1,800 จุด ตอนนี้จะฟัดกันหนักหน่วง ขอให้ระวังแรงขายทำกำไร ถ้าผ่านได้หุ้นไทยจะไป ที่ระดับ 1,880-1,925 จุด

2215684 62556 ฟันด์แมเนเจอร์ที่ดูแลลูกค้าฝรั่งเขาถอดรหัสนัยของนโยบายว่า ถ้า ดร.สมคิด และทีมเศรษฐกิจผลักดันแนวคิดที่วางไว้สำเร็จ ทำให้การลงทุนภาครัฐที่ปีกอนทำได้แค่ 0.9% ปี 2561 ทำให้เพิ่มขึ้น 9.0% จากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรวม 7.80 แสนล้านบาท เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และสายสีส้มตะวันตก 2 แสนล้านบาท รถไฟรางคู่เฟส 2 มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ทำให้การลงทุนภาคเอกชนปี 2561 เพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อนที่เพิ่มแค่ 1.6% ผลักดันกฎหมายการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ให้บรรลุผลในไตรมาสแรก รับรองตลาดหุ้นไทยจะปรอทแตกอีก

เพราะเงินฝรั่งยังรอเข้ามาอีกกว่า 1-2 หมื่นล้านบาท...สัญญาณมาชัดเจนครับ แต่ขอให้ระวังกับแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นกันให้ดีเท่านั้น ขอให้รวย เฮงๆครับ….
25550103_1913669188652627_6185279481348436375_n (1)
..............
คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา/ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /  ฉบับ 3329 ระหว่างวันที่ 7-10 ม.ค.2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9