พระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ สิ้นแล้วในหลวงที่เคยเห็นมาตั้งแต่เกิดจนอายุ 62 ปี เราคนไทยที่อายุไม่เกิน 70 ปี เป็นคนแผ่นดินเดียวตราบถึง 15:52 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม 2559
ในรัชสมัยอันยาวนานของพระองค์ท่าน ไทยเราขยับจากประเทศยากจนขึ้นมาเป็นประเทศรายได้ปานกลาง มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 22 ของโลก หากนับตามกำลังซื้อที่เป็นจริง
จากชาติที่โลกไม่รู้จักไทยในรัชสมัยของพระองค์ กลายเป็นประเทศที่มีชาวต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนมากเป็นอันดับ 6 ของโลก และมี 3 เมืองของเราที่อยู่ใน 25 เมืองของเอเชีย-แปซิฟิกที่มีคนทั่วโลกมาเยือนมากที่สุด ชื่อเสียงไทยขจรขจายไปทั่วโลก
หากมองผลงานรัฐบาลเป็นคณะๆไปจะมองไม่เห็นภาพความเจริญยิ่งใหญ่ของประเทศ หากมองแต่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายคนจะนึกไม่ออกว่าไทยก้าวหน้ามาอย่างไร
แต่หากมองให้เห็นว่าตลอดเวลาที่เราสับสน ปั่นป่วน ขัดแย้ง ต่อสู้และวิพากษ์วิจารณ์กันบ่อยครั้งและอย่างหนักนั้น ก็อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพ พระบุญญาบารมี และพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ ที่ทรงรวมใจไทยทั้งชาติได้หลายครั้งหลายคราตลอดรัชสมัยอันยาวนานและต่อเนื่อง และนั่นคือคำตอบว่า ประเทศไทย จริงๆ แล้วก้าวมาไกลมากได้อย่างไร ในรัชกาลที่ 9 ที่เพิ่งสิ้นสุดลง
ใจหายมากครับ ที่คืนนี้เป็นคืนแรกที่นอนโดยไม่มีพระเจ้าอยู่หัว พระองค์นั้นทรงปกเกล้าปกกระหม่อมอีกแล้ว ธ เสด็จสู่สวรรค์แล้ว หลังจากทรงงานให้ชาติและประชาชนของพระองค์มาอย่างหนัก พระเจ้า อยู่หัวในพระบรมโกศจะประทับอยู่ในหัวใจคนไทยไปตลอดกาล
เศร้าจริง แต่มองไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจในพระปรีชาบารมีของพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ 10 เช่นกัน บัดนี้ ผมจะเริ่มเป็นคนสองแผ่นดินแล้ว และขอให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ทรงปกเกล้าปกกระหม่อมพวกเราต่อไป
คืนนี้เป็นคืนที่สามหลังจากพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ความเศร้าหมองอันคาดไว้แล้ว ยามเกิดจริงมากกว่าที่คาดเป็นหนักหนา แผ่ขยายออกปกคลุมไปทั่วประเทศ เคยประเมินมาตลอดครับว่าคนไทย แม้เด็กๆและวัยรุ่นเอง ก็น่าจะยังเทิดทูน บูชา และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่อดวิตกไม่ได้อยู่เสมอว่าโลกเปลี่ยนไปเยอะ คนรุ่นใหม่ดูจะคิดอะไรใหม่ๆ ไม่เหมือนคนรุ่นเราหรือแก่กว่าเรา และพระองค์ท่านก็ทรงพระประชวรอยู่ในโรงพยาบาลนานมากแล้ว เกรงว่าคนที่อายุตํ่ากว่ายิ่สิบปี หรือ สามสิบปีอาจจะไม่เห็นท่านทรงงาน หรือเสด็จฯเยี่ยมเยียนราษฎร
อนึ่ง ในฐานะที่เคยทำเรื่องปรองดองมาบ้าง ผมอดวิตกไม่ได้เพิ่มอีกเรื่องด้วยว่าในช่วงสิบปีหลังที่คนไทยขัดแย้งแตกหักจนไม่มองหน้ากัน อาจมีคนจำนวนหนึ่งรู้สึก
“ห่างเหิน” สถาบันดั้งเดิมไป
ทว่า สองวันสามคืนที่ผ่านมาได้ซาบซึ้งใจยิ่งแล้วว่า เราได้กลับมาเป็นคนไทย
“หัวใจเดียวกัน” อีกครั้ง คนไทยนั้นช่างรัก บูชา และอาลัยในพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสียนี่กระไร มาก กว่าที่เราท่านคิดกัน และมากกว่าที่ผมเองเคยประเมินไว้ล้นเหลือ
ความวิปโยคโศกาอาดูรนั้นเกิดขึ้นเอง เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่มีใครชักจูงหรือปรุงแต่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรง แม้จะสงบเยือกเย็น และออกมาจากส่วนลึกของหัวใจคนไทยนั้น ด้วยความที่เป็นพุทธเป็นส่วนใหญ่มักรู้จักอดกลั้นความเศร้าโศก แต่กระนั้นก็อดกลั้นไม่ได้ ร้องไห้มากกว่า ลึกกว่าตอนที่พ่อตัวเองตายเสียอีก หลายคนบอกกับผมอย่างนี้ และผมก็รู้สึกอย่างนี้
ความวิปโยคนี้เกิดกับคนทุกวัย โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ด้วย เกิดกับผู้คนในทุกฐานะทุกระดับ และเกิดกับทุกกลุ่มทุกฝ่ายทางการเมือง รวมทั้งกับบางส่วนที่เคย
“เหินห่าง”กับสถาบันประเพณีเดิมด้วย
ใช่เฉพาะคนไทยก็หาไม่ ที่เสียใจร้องไห้และเศร้าอาลัยต่อการจากไปของพระราชาผู้เป็นประดุจ “พ่อ” ของครอบครัว “สมมติ”นี้ แต่ “โลก” เองก็ดูจะเสียใจมาก และสรรเสริญ “พ่อ” ของแผ่นดินเรามาก มากจริงๆ ครับ มากกว่าที่เราคิด
ช่วงราวสิบปีมานี้สื่อมวลชน
“ตะวันตก” ส่วนหนึ่ง มองสถาบันดั้งเดิมของไทยในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นนั้น การแสดงออกของ
“ตะวันตก” ต่อการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัว ย่อมบอกเราว่า จริงๆ แล้ว ทั้งโลกนั้น
“เคารพ” และร่วม
“เสียใจ” กับคนไทยในความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้
ทุกสิ่งที่ออกมาในสองวันนี้ วันที่ 14-15 ตุลาคม 2559 ทำให้สรุปว่าความเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นไม่เสื่อมคลายลง และที่สำคัญที่สุดสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ผู้จะทรงขึ้นครองราชย์เป็น
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่” ทรงมีพระราชหฤทัยที่ตระหนักถึงความเศร้าโศกและอาลัยรัก
“สุดขีด” ที่อาณาประชาชนมีต่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ จึงทรงมิได้ร้อนพระราชหฤทัยที่จะต้องรีบขึ้นครองราชย์ หากแต่ทรงปรารถนาที่จะ
“ร่วมทุกข์ร่วมโศก” กับพสกนิกรของพระองค์ก่อน
ทรงเชื่อมั่นในกฎมณเฑียรบาลในรัฐธรรมนูญ และโบราณราชประเพณี ทรงวางพระราชหฤทัยในผู้สำเร็จราชการ นายกรัฐมนตรี และประธานสภานิติบัญญัติฯ และทรงแสดงถึงกตัญญุตาธรรมที่จะส่งประกอบพระราชพิธีงานพระบรมศพต่างๆ จนครบถ้วนเหมาะสมเสียก่อน แล้วจึงให้เริ่มงานสืบรัชกาลใหม่
พระปรีชาญาณและพระราชวินิจฉัยอันรอบคอบรอบด้าน และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ อันไม่มีผู้ใดอาจหยั่งถึงได้เลย ทำให้ทวยราษฎร์ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและปรารถนาที่จะเปล่งเสียงถวายพระพรโดยเร็วที่สุดว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ทรงพระเจริญ”
และถวายพระพรด้วยสัจวาจาว่า
“ขอให้พระองค์ท่านทรงเป็นธรรมราชผู้ทรงพระปรีชาญาณ” ปกเกล้าปกกระหม่อมปวงข้าพระพุทธเจ้าต่อไปและตลอดไป
ในฐานะผู้หนึ่งที่ได้ทำงานเพื่อช่วยสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองมาบ้าง คืนนี้ผมจะหลับดีมาก จะฝันดี และในฝันจะเห็นว่าในแผ่นดินใหม่ของรัชกาลที่สิบอันรุ่งโรจน์นี้ พระบุญญาบารมีของพระองค์ท่านจะนำเอาความสงบสันติกลับสู่แผ่นดินไทยได้ในเร็ววัน
คืนนี้เป็นคืนที่หกนับแต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต เสียงร้องไห้ยังดังระงมอยู่ทุกหนแห่ง โดยเฉพาะที่ที่มีผู้ คนอยู่รวมกันจำนวนมาก เมื่อมี คนเริ่มร้องคนอื่นๆ ก็จะครํ่าครวญ หวนไห้ตาม เป็นปรากฏการณ์จิตวิทยาสังคม ที่ทำให้อารมณ์และความรู้สึกของผู้คนพุ่งขึ้นแรงเป็นทบเท่าทวีคูณ
คนไทยเศร้าไปด้วย คิดทบทวนถึงสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำมาเจ็ดสิบปีไปด้วยและพูดคุยกันอย่างกว้างขวางว่า ไม่น่าเชื่อ ท่านทรงทำอะไรให้เรามากเป็นล้นพ้น แทบทุกคนอยากไปกราบพระบรมศพหรือไปอออยู่หน้าวังหลวง ไปจุดธูปเทียนแสดงความอาลัยและความเคารพรักต่อพระองค์ท่าน
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนั่นเอง ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยเหตุที่คิดพร้อมๆ กันเป็นเรือนล้าน พลังแห่งความกตัญญูรู้คุณจึงก่อเป็นกระแสสูง มีคนทุกเพศทุกวัยออกมาเป็นจิตอาสารับส่งผู้ที่จะเดินทางไปวังหลวง บริการอาหารนํ้า ที่พักที่นอน ให้เพื่อนร่วมชาติโดยเฉพาะที่มาจากที่ห่างไกล จากความเศร้าโศก
“ร่วมหมู่” นั้น แปรเปลี่ยนเป็นความรักและห่วงใยต่อทุกคนที่รัก
“พ่อ” คนเดียวกัน
ขณะนี้งานพระบรมศพ ในความคิดของผม กลายสภาพเป็นงาน
“ของประชาชน” ไปด้วยไม่น้อย ซึ่งผมเห็นว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี พวกเขามีภาษา มีสำนวน มีราชาศัพท์เป็นของ
“ตนเอง” และยืนยันที่จะ
“ใช้” หลายคนบอกว่าอยากพูด อยากเขียน อยากแสดงอะไรในใจออกมาให้ได้มากขึ้น ทั่วประเทศมี การแต่งกายไว้ทุกข์จริงจังและกวดขันให้คนอื่นแต่งด้วย
ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าควรหย่อนคลายลงบ้าง ให้คนอื่นๆ แต่งกายไว้ทุกข์อย่างเป็นธรรมชาติด้วยเถิด พวกเขาไปร่วมงานพิธีธรรมดาแบบฉบับตนเองทุกคืน ไปอออยู่หน้าวังหลวงทุกวันทุกคืน
หลายคนไม่อยากให้ใครมารีบเก็บหรือถอดพระบรมฉายา ลักษณ์โดยอ้างแต่ธรรมเนียมประเพณีเดิม หลายคนไม่อยากเรียกพระเจ้าแผ่นดินที่เขาเทิดทูนว่า “พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ” เพียงเท่านั้น หลายคนพากันจุดเทียนรอบกำแพงวังหลวงเพื่อแสดง ความอาลัยรักและเทิดทูนบูชา นี่ก็ช่างสวยงาม และมีความหมาย และยังเป็น “นวัตกรรมทางสังคม” โดยแท้
--------------------
(อ่านต่อฉบับหน้า)
• หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเดือนตุลาคม 2559
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,307 วันที่ 22 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560