รถบรรทุกจีนบุกไทย อีซูซุไม่หวั่นคู่แข่ง –มั่นใจโกยยอดขาย 1.4 หมื่นคัน
ตลาดรถบรรทุกแข่งเดือด อีซูซุฟุ้งคุณภาพ-บริการ เหนือคู่แข่ง มั่นใจยังเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดปี 59 จำนวน 50% ด้านผู้เล่นแบรนด์จีนหวังตีตลาดไทย ตันจงจับมือเจ เอ ซี ทุ่ม 70 ล้าน เปิด 3 รุ่นใหม่ รองรับเออีซีด้านไทยนา ส่ง 2 รุ่นเคาะราคาตํ่ากว่า 6 แสนบาทตั้งเป้าภายในปี 2560 ยอดขาย 500 คัน
นาย ฮิโรยาสุ ซาโต้ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์อีซูซุในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดรถบรรทุกขนาดกลาง – ใหญ่ ตั้งแต่ 2 ตันขึ้นไปมีอัตราการเติบโต 4 – 5 % ในช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากการก่อสร้างที่มีการขยายตัว และคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยาวไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากยังมีโครงการใหญ่ๆอีกมากมายที่เตรียมจะดำเนินการในเร็วๆ นี้
ปัจจุบันยอดขายรถในเซกเมนต์นี้ จะมีจำนวน 2.8 -2.9 หมื่นคัน โดยอีซูซุ ถือเป็นผู้นำในตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 48% ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 50 % หรือคิดเป็นยอดขาย 1.4 หมื่นคัน เติบโตประมาณ 4 – 5 %
"การแข่งขันในตลาดรถบรรทุกขนาดกลาง – ใหญ่ แม้ว่าจะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาอีกหลายแบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์จากจีนที่เข้ามารุกตลาดเพิ่มขึ้น โดยการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ไม่ได้กระทบกับอีซูซุแต่อย่างใด เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่เลือกอีซูซุเพราะต้องการรถมีคุณภาพ ,ทนทาน ,มีการซ่อมบำรุงหรือบริการหลังการขาย อะไหล่ ที่มีรองรับและมีประสิทธิภาพ"
ด้านกลุ่มตันจงฯในปีนี้ รุกหนักตลาดรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดเล็ก ด้วยการจับมือกับ เจ เอ ซี มอเตอร์ส ผู้ผลิตจากจีน ทำการเปิดตัวรถ 3 รุ่นใหม่ โดยนาย เกลน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในเซกเมนต์รถบรรทุก จึงมีการจัดตั้ง บริษัท เจ เอ ซี (ประเทศไทย) จำกัด และได้เปิดตัวสู่ตลาดในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 33 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคม 2559 ณ ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี
โดยการทำตลาดในช่วงเริ่มต้น ได้มีการลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท และมีการแนะนำ 3 รุ่นใหม่ the All-New JAC "N-Series" Light-Duty Trucks หรือ รถบรรทุกขนาดกลางและเล็ก รุ่น "เอ็น-ซีรีส์" ประกอบด้วย รุ่น N43 – รถบรรทุก 4 ล้อขนาดเล็ก สามารถขนส่งได้ตลอดทั้งวัน โดยไม่ติดข้อจำกัดเรื่องเวลาเข้าเขตเมืองและชานเมือง สนนราคาอยู่ที่ 6.49 แสนบาท ,รุ่นต่อมา N65 – รถบรรทุก 6 ล้อขนาดกลาง บรรทุกสูงสุด 6.5 ตัน สามารถบรรทุกหนักกว่าคู่แข่งในท้องตลาดกว่า 300 กิโลกรัม สนนราคาอยู่ที่ 6.99 แสนบาท และ N85 – รถบรรทุก 6 ล้อ สามารถบรรทุกสูงสุด 8.5 ตัน สนนราคา 8.99 แสนบาท โดยในรุ่นนี้มีจุดเด่นที่เครื่องยนต์ "คัมมินส์ (Cummins)" แรงบิด 440 นิวตันเมตรที่รอบต่ำเพียง 1,200 รอบ พื้นที่บรรทุกเพิ่มมากขึ้นด้วยความยาวแชสซี 5,255 มิลลิเมตร
ส่วนแผนงานด้านเครือข่าย ภายในปี 2562 จะมีการแต่งตั้งผู้แทนจำหน่าย 40 แห่ง และขยายเครือข่ายดีลเลอร์ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย และจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคด้านบริการหลังการขาย ด้วยการเปิด เจ เอ ซี สปีดไลน์ และโมบายล์ แอสซิสแทนซ์
"ภาพรวมตลาดรถบรรทุกขนาดกลางและเล็กในประเทศไทยในปี 2559 คาดว่าจะมีจำนวน 1.1 หมื่นคัน และในปี 2560 จะเพิ่มเป็น 1.2 หมื่นคัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนอย่างการเปิดเออีซี ทำให้ความต้องการรถบรรทุกยังมีอยู่ ประกอบกับภาครัฐฯได้มีนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจในประเทศ ด้วยปัจจัยเหล่านี้เองทำให้มองว่าไทยเหมาะสมกับการเป็นศูนย์กลางในการผลิตและส่งออกรถบรรทุกไปยังประเทศในกลุ่มเออีซี"
ด้านนายออสการ์ ยู ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป เจ เอ ซี อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า เจ เอ ซี มอเตอร์ส มีตัวแทนจำหน่ายและเครือข่ายให้บริการมากกว่า 2,000 แห่ง และมีการผลิตเพื่อส่งออกไปยัง 130 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาใน 3 เมืองหลัก ได้แก่ เมืองเหอเฟย ประเทศจีน, เมืองตูริน ประเทศอิตาลี และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยนอกจากการผลิตและพัฒนารถบรรทุกแล้ว บริษัทฯยังได้พัฒนาและผลิตรถไฟฟ้าออกสู่ตลาด ปัจจุบัน เจ เอ ซี มีกำลังการผลิตรถยนต์ที่ 1.2 ล้านคันต่อปี และมีกำลังการผลิตเครื่องยนต์ที่ 8 แสนเครื่องต่อปี ส่งผลให้ เจ เอ ซี เป็น 1 ใน 10 ผู้ผลิตยานยนต์ในจีน และล่าสุดปี 2558 สามารถสร้างยอดขายรถรวมกว่า 5.8 แสนคัน
ส่วนผู้เล่นรายใหม่อีกหนึ่งแบรนด์คือ "ไทยนา มอเตอร์ " ก็ได้เปิดตัวรถบรรทุก 4 ล้อขนาดกลาง โดยนาย พอล เอม มาร์คแฮม ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยนา มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ได้แนะนำ รถบรรทุกขนาดกลาง 4 ล้อ ยี่ห้อ "ไทยนา" จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ ไทยนา เพโทรล ทีจี150 Thaina Petrol TG15 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.2 ลิตร ราคา 5.25 แสนบาท และ ไทยนา ดีเซล ทีดี175Thaina Diesel TD175 เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร ราคา 5.95 แสนบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มสตาร์ทอัพ และกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งบริษัทฯวางเป้าหมายการขายไว้ที่ 500 คันในปี 2560
"บริษัทฯมีการจับมือกันระหว่างนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจต่างชาติ ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และจะขยายการลงทุนอีก 26 ล้านบาทสำหรับโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชจังหวัดระยอง ซึ่งบริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะผลิตเพื่อป้อนทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นของการผลิตจะเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ 60 % และชิ้นส่วนในประเทศ 40 % แต่ในอนาคตจะเพิ่มสัดส่วนของชิ้นส่วนภายในประเทศเป็น 45%"
นาย มาร์คแฮม กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนงานด้านเครือข่ายนั้น บริษัทฯกำลังดำเนินงานขยายอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันตั้งอยู่ที่ กทม. 3 ราย และต่างจังหวัด อาทิ ชลบุรี ระยอง และราชบุรี คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีเครือข่ายครบ 10 แห่งทั่วประเทศ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,215 วันที่ 8 - 10 ธันวาคม 2559