ดีบีเอส ตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ความมั่งคั่งโต 3 เท่า เหนือ 3 แสนล้าน ในปี 69

04 ก.ย. 2567 | 10:07 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ย. 2567 | 10:08 น.

ธนาคารดีบีเอส กางแผนเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดในการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth management) ในไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า สู่มูลค่ามากกว่า 3 แสนล้าน ในปี 69 พร้อมรุกขยายฐานกลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) และรายใหญ่พิเศษ (UHNW)

นายชี ซือ คุน ประธานหัวหน้ากลุ่มฝ่ายบุคคลธนกิจ และจัดการความมั่งคั่ง ธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนก.พ.2567 ที่ผ่านมา การลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น และได้เห็นถึงผลลัพธ์ในระยะแรกแล้ว

ต่อมาในช่วงปลายเดือนมี.ค.2567 DBS ได้พัฒนาปรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ (mTrading) ให้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งการตอบรับออกมาค่อนข้างน่าพอใจ โดยยอดตัวเลขบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% เช่นเดียวกันกับยอดเงินสดรวมที่โต 100%

ชี ซือ คุน ประธานหัวหน้ากลุ่มฝ่ายบุคคลธนกิจ และจัดการความมั่งคั่ง ธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์

ทั้งนี้ DBS มีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ทั้งหมด (AUM) การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth management) ในไทยเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ไปสู่มูลค่ามากกว่า 3 แสนล้านบาท ภายในปี 2569 ยังคงเป็นไปตามแผน ด้วยการลงทุนและขยายศักยภาพของบริการการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Private Banking) อย่างต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ DBS ยังมีแผนที่จะเพิ่มที่ปรึกษาทางการเงิน (RM) เป็น 2 เท่า รวมถึง 50% ของการเพิ่มจำนวนเติบโตของ AUM ที่คาดการณ์ไว้ (2 แสนล้านบาท) จะมาจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) และรายใหญ่พิเศษ (UHNW) โดยการให้บริการแบบพิเศษกับกลุ่มผู้ลงทุนทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวในปัจจุบันยังมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้วยข้อเสนอบริการแบบครบวงจรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Assets) ในปี 2567 นี้ โดยใน 3 เดือนที่ผ่านมา DBS ได้ดำเนินการระดมทุนสำเร็จไปได้ถึง 2 ดิล แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสที่น่าสนใจที่มีต่อลูกค้ากลุ่มผู้มีความมั่งคั่งของเราเป็นอย่างมาก

ในฐานะที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย มีผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ จำนวนกว่า 900 คน มีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 30 ล้านเหรียญขึ้นไป และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15% เป็นมากกว่า 1,000 คน ภายในปี 2029 (2572) เปิดโอกาสให้ลูกค้าผู้ลงทุนรายใหญ่และผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเติบโตความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย

1. การเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้มั่งคั่ง กำลังสร้างความต้องการที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับบริการวางแผนความมั่งคั่งที่ซับซ้อน การบริหารความมั่งคั่งของครอบครัว และความต้องการในการบริหารจัดการเงินทุนขององค์กร โดยมีปัจจัยจาก

  • ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงความมั่งคั่งสู่รุ่นที่ 3
  •  ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของประเทศมาจากธุรกิจครอบครัว จึงมีความต้องการและความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนครอบครัวของผู้ประกอบการทั้งในภูมิภาคและต่างประเทศ โดยร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อช่วยนำพาพวกเขาในการลงทุนในต่างประเทศ เรียนรู้ และยอมรับในธุรกิจใหม่ๆ รวมวางแผนสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

2. นักลงทุนมองหาโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น และบริการแบบครบวงจรที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ สาเหตุจาก

  • แม้ว่าผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (HNWIs) ในประเทศไทยจะค่อนข้างระมัดระวังกับการลงทุนในต่างประเทศ แต่สิ่งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป เมื่อความมั่งคั่งส่วนบุคคลของพวกเขากำลังเติบโตขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการบริการบริหารจัดการความมั่งคั่งอย่างครบวงจรและกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกมากขึ้น
  • นักลงทุนรายใหญ่ได้รับคำแนะนำให้กระจายการลงทุนไปทั่วโลก เพื่อให้ได้ ประโยชน์จากผลตอบแทนที่อาจสูงขึ้นจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย (เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศ) และให้ลงทุนในกลุ่มที่มีแนวโน้มระยะยาว เช่นกลุ่มเทคโนโลยี และ AI ของสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567
  • นักลงทุนรายใหญ่เริ่มหันมาสนใจโซลูชันการลงทุนแบบที่มุ่งหวังกระแสเงินสดในระยะยาวในสินทรัพย์ทางเลือกต่างๆ (Endownment-Style Investment) เช่น Private Assets สินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ อย่าง Hedge funds และ Private equity แบบ semi-Liquid รวมถึง Co- Investment deals เป็นต้น

3. ความต้องการในการรับคำแนะนำการลงทุนเฉพาะบุคคลจาก "คน" เพื่อช่วยจัดการกับอคติในการลงทุน/การบริหารความมั่งคั่ง เพราะมากกว่า 65% ของผู้ลงทุนรายใหญ่ พบว่า อคติมีผลกระทบต่อการตัดสินใจการลงทุนโดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การแต่งงาน การหย่าร้าง และการเกษียณอายุ ส่งผลให้ 79% ของนักลงทุนกลุ่มนี้ต้องการคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อช่วยจัดการกับอคติเหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะค้นหาคำแนะนำแล้วแต่ 65% ยังคงกังวลเกี่ยวกับการขาดคำแนะนำที่ปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปของพวกเขา

นายเอ็ดวิน แทน หัวหน้าฝ่ายธนบดี ธนกิจ ประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ธนาคารดีบีเอส กล่าวเสริมว่า โมเดล Phygital ของเราได้พลิกโฉมประสบการณ์แบบเดิมๆ ของลูกค้าที่ใช้บริการบริหารความมั่งคั่ง เนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างการนำเอาเทคโนโลยีมีเสริมกำลังร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน (RM) เพื่อเลือกช่องทางในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา อีกทั้งยังช่วยตอบโจทย์กับความต้องการการลงทุนหรือบริหารจัดการที่มีความซับซ้อนมากกว่าปกติ

เอ็ดวิน แทน หัวหน้าฝ่ายธนบดี ธนกิจ ประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ธนาคารดีบีเอส

นอกจากนี้ การนำเสนอบริการด้านความมั่งคั่งแบบครบวงจรที่มาพน้อมด้วยองค์ความรู้ทางการเงินแบบครบถ้วนในการให้คำแนะนำแบบเฉพาะบุคคลและเสนอโซลูชันทางการลงทุนผ่านระบบดิจิทัล ทำให้มีกิจกรรมการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ บริการการลงทุนดิจิทัลที่ครบวงจร จะมีการให้คำแนะนำโดย AI ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกสามารถใช้ได้จริงตามความต้องการแต่ละรายแบบ Hyper-Personlised เพื่อให้สามารถ
บริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันลูกค้า 9 ใน 10 ราย ได้เข้าดูพอร์ตการลงทุน และทำการลงทุนผ่านแอพพลิเคชัน ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารดีบีเอสย้ำว่า ยังคงดำเนินธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และศักยภาพทางการตลาดของไทย ซึ่งดีบีเอสมีความพร้อมที่จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักลงทุน รวมถึงเปิดโอกาสให้เข้าถึงการลงทุนใหม่ ผ่านแพลตฟอร์มชั้นนำระดับโลก มาให้คำแนะนำนักลงทุนในประเทศไทย