KEY
POINTS
จากกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจเช่าซื้อลิสซิ่ง สำหรับสถาบันการเงิร บริษัทในกลุ่มฯ และผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อลิสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เป็นนิติบุคคลใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 3 ธ.ค. 68 เป็นต้นไป
ประกอบด้วย รถยนต์ใหม่ 10% ต่อปี รถยนต์ใช้แล้ว 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ 23% ต่อปี ซึ่งปรับดอกเบี้ยผิดนัดชำระใหม่เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมลูกค้า คือ อัตราดอกเบี้ยผิดนัดไม่เกิน 5% ต่อปี และคิดบนฐานของค่างวดที่ค้างชำระเท่านั้น
และปิดหนี้ก่อนกำหนดได้ส่วนลดดอกเบี้ย ตั้งแต่ 60-100% ตามจำนวนงวดที่ชำระแล้ว นอกจากนี้ การตัดชำระแบบแนวนอน ช่วยลดภาระหนี้เงินต้นของลูกค้า เริ่มตัดจาก ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย เงินต้นงวดค้างเก่าที่สุดก่อน แล้วค่อยตัดจ่ายในงวดถัดๆ มา ทำให้จ่ายแล้วหนี้ลดจริง ไม่ใช่จ่ายไปแต่ดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียม
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า มองว่าสถาบันการเงินโดยปกติมีอัตราการเก็บดอกเบี้ยที่ไม่เกินตามเกณฑ์ที่กำหนดอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับกลุ่มไฟแนนส์
การปรับลดเพดานดอกเบี้ยลงไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้น เชื่อว่าผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ และมีแผนรองรับไว้อยู่แล้ว ส่วนผลกระทบจะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องไปดูรายตัวว่าแต่ละบริษัทมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อประเภทดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน
ถามว่าการปรับเพดานดอกเบี้ยลิสซิ่งใหม่ของ ธปท. จะกระทบต่อกลุ่มแบงก์และไฟแนนส์มากน้อยแค่ไหน มองว่ากลุ่มแบงก์คงไม่โดนกระทบเพราะปกติก็คิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนดอยู่แล้ว ส่วนของกลุ่ม Non-bank ก็ต้องไปดูว่าแต่ละรายมีสัดส่สวนการปล่อยสินเชื่อประเภทไหนเท่าไหร่ หากสัดส่วนมากก็อาจมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่เชื่อว่ายังอยู่ในขั้นที่รับมือและปรับตัวได้